
คนกู้สินเชื่อตาย แล้วหนี้บ้านล่ะ ต้องทำยังไงต่อ?
การกู้สินเชื่อบ้าน อย่างที่เราทราบกันดีว่า สินเชื่อบ้านนั้น เป็นการกู้ระยะ ตั้งแต่ 5 - 30 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน สำหรับการผ่อนหนี้ไปเรื่อยๆ
ซึ่งด้วยระยะเวลาที่ยาวนานนี่แหละ เป็นปัจจัยให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ ระยะการผ่อนบ้าน แล้วเคยสงสัยกันไหมว่า ระยะที่ผ่อนบ้านนั้น เกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ผู้กู้ดันมาเสียชีวิตไป แล้วหนี้ที่เหลือไปไหน และต้องทำอย่างไรบ้าง?
ดังนั้น เราจะพาไปดูว่า เมื่อผู้กู้สินเชื่อเสียชีวิต หนี้บ้านต่างๆ นั้นจะไปไหน และควรอย่างไร ถ้าอยากรู้แล้ว ตามไปดูกัน

ผ่อนบ้าน หนี้สินระยะยาวที่ต้องวางแผน
ก่อนที่จะพาไปหาคำตอบ ตายแล้ว "หนี้บ้าน" ไปไหน มาทำความเข้าใจก่อนว่า การผ่อนชำระบ้านนั้น จัดอยู่ในประเภทหนี้สินระยะยาว ผ่อนชำระตั้งแต่ 5-30 ปี บางสถาบันการเงินให้ผ่อนได้สูงถึง 40 ปี เรียกได้ว่าผ่อนได้สบาย ๆ กันได้ยาว ๆ แบบไม่ต้องกดดันตัวเอง ช่วงไหนที่มีกำลังเงินมากจะผ่อนหรือโปะเป็นก้อนก็ได้ไม่มีปัญหา
แต่ทว่ายังผ่อนไม่หมด กลับมีเหตุให้ผู้กู้ซื้อบ้านต้องมาเสียชีวิตไปก่อน แล้วแบบนี้จะต้องทำอย่างไรกับบ้านที่ซื้อและยังผ่อนชำระไม่หมดนี้ดี
ตายแล้ว หนี้บ้าน ไม่ตายตาม
ถ้าจะว่ากันตามกฎหมายแล้ว อสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียม ถือเป็นทรัพย์สินของผู้ซื้อตามกฎหมาย แต่เมื่อผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าของเสียชีวิต ทรัพย์สินดังกล่าวจะตกทอดกลายเป็นมรดกไปสู่ทายาทโดยธรรมตามลำดับ แต่ถ้าหากผู้ซื้อทำพินัยกรรมไว้ ทายาทตามพินัยกรรมก็จะถือเป็นคนแรกที่ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้
ไม่เฉพาะทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดสู่ทายาทโดยธรรม หรือทายาทตามพินัยกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ซื้อที่ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ซึ่งนั่นอาจหมายถึงหนี้สินที่ยังไม่หมดภาระ ที่ตกทอดสู่ผู้รับมรดกให้ต้องรับผิดชอบภาระนั้นต่อไปด้วยเช่นกัน

ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน ตัดภาระลูกหลาน
ถ้าในกรณีที่ผู้กู้ซื้อบ้านทำประกันชีวิตคุ้มครองสินทรัพย์กับทางสถาบันการเงินไว้ตั้งแต่ตอนเซ็นสัญญากู้ยืม บ้านก็จะได้รับการคุ้มครองด้วยประกันสินเชื่อ ซึ่งประกันประเภทนี้จะชดใช้หนี้สินที่เหลือให้ทั้งหมด หากผู้กู้ซื้อบ้านเสียชีวิตก่อนชำระหนี้หมด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ตามพินัยกรรม จะได้รับบ้านหลังนั้นไปเลย โดยไม่ต้องมานั่งชำระหนี้ต่อจากผู้กู้ซื้อบ้านที่เสียชีวิต
แม้จะเป็นประโยชน์และเป็นการเตรียมความพร้อม ไม่ให้หนี้บ้านต้องตกเป็นภาระของลูกหลาน แต่ก็ใช่ว่าผู้กู้ซื้อบ้านทุกรายจะเห็นความสำคัญ อีกทั้งส่วนใหญ่มักปฏิเสธการทำประกันคุ้มครองสินทรัพย์ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้กู้ระยะสั้นและผู้กู้ที่อายุยังน้อย เนื่องจากต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น
ดังนั้นเมื่อผู้กู้ซื้อบ้านมีเหตุให้ต้องเสียชีวิต ไม่เพียงแต่บ้านหรืออสังหาริมทรัพย์จะตกเป็นของทายาทเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมหนี้สินที่เหลือด้วย ตามผลของกฎหมาย

2 แนวทางแบ่งรับ-แบ่งสู้หนี้บ้านตามกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ซื้อบ้านเสียชีวิตลง ธนาคารในฐานะเจ้าหนี้ จะสามารถดำเนินการได้ตาม 2 แนวทาง ดังนี้
1. กรณีทายาทปฏิเสธไม่รับทรัพย์สิน
สถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ จะทำการยึดทรัพย์สิน เพื่อขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านต่อไป ซึ่งหากจำนวนเงินมากพอชำระหนี้ได้หมด ทายาทก็ไม่ต้องรับภาระใด ๆ แต่ในการขายทอดตลาดมักได้ราคาที่ต่ำกว่ายอดหนี้ จึงทำให้ทายาทยังคงต้องรับภาระหนี้ที่เหลือต่อไป
2. กรณีทายาทต้องการรับทรัพย์สิน
อสังหาริมทรัพย์จะได้รับการประเมินสภาพหนี้ใหม่โดยสถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ ซึ่งจะประเมินจากหนี้ที่เหลือกับความสามารถในการผ่อนชำระของทายาท หากทายาทมีความสามารถผ่อนต่อได้หรือกู้ผ่าน ก็รับหน้าที่ผ่อนต่อไปจนหมด
แต่ถ้าหากทายาทไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่อหรือกู้ไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าแนวทางการชำระหนี้จะเหมือนกับกรณีทายาทปฏิเสธไม่รับทรัพย์สิน ในข้อที่ 1. สถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ จะทำการยึดทรัพย์สิน เพื่อขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านที่เหลือต่อไป
สำหรับการกู้ซื้อบ้านนั้น ย่อมมีหลายสิ่งที่เราควรคำนึงถึง ทั้งทำเลบ้าน ราคา ระยะเวลาการผ่อน รวมไปทั้งปัจจัยเสี่ยงในอนาคต อย่างเช่นการเสียชีวิต ที่บ้านพึ่งเราสร้างเพื่อความมั่นคงของครอบครัว แต่เมื่อเราเสียชีวิตไป ก็จะกลายเป็นภาระหนี้กับคนอื่นในครอบครัวในทันที ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นเราสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ อย่างการซื้อประกัน ก็ขึ้นอยู่ที่เราแล้วว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น
สุดท้ายนี้ เราควรศึกษาการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต หลังการกู้ซื้อบ้าน เพื่อคุ้มครองเรา รวมถึงบ้าน ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเรา และความได้นั้นเอง