
ต้องซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่อนได้ ไม่เกินกำลังของตัวเอง (ธนาคารกสิกรไทย)
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหรือคอนโดฯ สักแห่งหนึ่ง นอกจากเรื่องของทำเลแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ งบประมาณในการซื้อบ้าน ซึ่งมีข้อแนะนำในการวางแผนซื้อบ้าน 2 ส่วนด้วยกัน คือ การเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อ และปัจจัยที่ช่วยให้ผ่อนสบายกระเป๋า
ขอเริ่มที่เรื่องแรกก่อน คือ การเตรียมตัวเตรียมใจก่อนขอสินเชื่อ มีสิ่งที่ต้องเตรียมดังนี้
1. รักษาเครดิต
ในการขอสินเชื่อต้องมีการตรวจสอบสถานะสินเชื่อ และประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาก่อน โดยการตรวจสอบเครดิตบูโร ดังนั้น เราควรรักษาเครดิตไว้ให้ดี เพื่อมิให้เป็นข้อจำกัดในการขอสินเชื่อได้
2. เตรียม Statement
ให้พร้อม ผู้ที่อาชีพทำงานประจำมีรายได้จากเงินเดือน สามารถใช้สลิป เงินเดือน หรือหนังสือรับรองฯ 50 ทวิ ในการยืนยันรายได้ แต่สำหรับผู้ที่มีอาชีพอิสระค้าขายทั่วไป ไม่มีเงินเดือนประจำ ก็สามารถกู้ได้ โดยเตรียมหลักฐานแสดงที่มาที่ไปของเงินให้มีความชัดเจน เช่น บัญชีเงินฝากที่มียอดรายได้เข้าสม่ำเสมอ การเดินบัญชีกระแสรายวัน การใช้เช็ค เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้
3. เตรียมออมเงินให้เพียงพอ
ก่อนกู้ซื้อบ้าน อย่าลืมเก็บออมเงินสำรองฉุกเฉินหรือเงินสภาพคล่องไว้อย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน เพราะเมื่อกู้บ้านแล้ว ภาระผ่อนหนี้ หรือค่าใช้จ่ายต่อเดือนจะมากขึ้น ซึ่งหากมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน จะได้มีเงินที่เก็บสำรองไว้มาใช้จ่าย และไม่กระทบกับการผ่อนบ้าน
หลังจากที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลากู้บ้านให้สบายกระเป๋า ซึ่งมี 4 ปัจจัย คือ
1. เงินดาวน์บ้าน
โดยทั่วไปผู้ที่กู้ซื้อบ้านต้องมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน ดังนั้น ถ้าจะซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท จะต้องมีเงินเก็บเพื่อเป็นเงินดาวน์อย่างน้อย 3 แสนบาท แต่จำไว้ว่า ยิ่งมีเงินดาวน์มาก ยิ่งช่วยลดภาระการผ่อนชำระลง และช่วยให้ประหยัดค่าดอกเบี้ยลงไปได้
2. ยอดผ่อนชำระต่อเดือน
ปกติแล้วภาระการผ่อนรายเดือนที่ไม่หนักจนเกินไป ไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ก่อนภาษี ถ้ารายได้คนเดียวผ่อนไม่ไหว สามารถกู้ร่วมได้ ทั้งนี้ การกู้ร่วม ผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด หรือเป็นสามีภรรยากัน
3. ระยะเวลาในการผ่อนชำระ
โดยทั่วไปสามารถผ่อนบ้านได้สูงสุด 30 ปี ซึ่งระยะเวลาผ่อนเมื่อรวมกับอายุของผู้กู้แล้ว ต้องไม่เกิน 60-65 ปี ถ้าระยะเวลาผ่อนสั้น ยอดผ่อนชำระรายเดือนจะมากกว่าระยะเวลาผ่อนยาว แนะนำให้ลองประเมินความสามารถในการผ่อน ถ้าผ่อนต่อเดือนได้สูง ก็สามารถเลือกผ่อนระยะเวลาสั้นๆ ได้เพื่อให้หมดภาระผ่อนเร็วและประหยัดค่าดอกเบี้ยจ่าย
4. รูปแบบอัตราดอกเบี้ย
ปัจจุบันสถาบันการเงินมีทางเลือกให้กับผู้ขอสินเชื่อว่าจะผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ หรือ แบบลอยตัว ผู้ขอสินเชื่อควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง
ปกติทั่วไป หากขอสินเชื่อ จำนวน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6.75% ต่อปี จะมียอดผ่อนชำระประมาณ 7,200 บาทต่อเดือน ดังนั้น ลองพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่แนะนำข้างต้นดูว่า จะผ่อนบ้านอย่างไรให้สบายกระเป๋ากัน

ขั้นตอนที่ 3 ธนาคารและสถาบันการเงินพิจารณาคำขอกู้
ธนาคารและสถาบันการเงินจะพิจารณาคำขอกู้โดยจะทำการวิเคราะห์รายได้ ฐานะทางการเงิน ความสามารถในการผ่อนชำระ และหลักประกันของคุณ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ และจะแจ้งผลการขอกู้ให้คุณทราบ โดยปกติทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงิน
การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจากธนาคาร ในบางครั้งธนาคารจะพิจารณาสินเชื่อและอนุมัติเบื้องต้น(Pre Approve) จากข้อมูล ณ เวลาที่ผู้กู้ยื่นเข้ามา แต่การอนุมัติดังกล่าวถือว่าเป็นผลการพิจารณาเบื้องต้น ยังไม่สมบูรณ์และยังไม่สามารถทำสัญญาและเบิกเงินกู้ได้ เนื่องจากธนาคารอาจจำเป็นต้องทบทวนเครดิตของผู้กู้อีกครั้งก่อนทำสัญญาและเบิกเงินกู้จริง
การที่ธนาคารยังไม่สามารถอนุมัติอย่างสมบูรณ์ได้อาจมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น ที่อยู่อาศัย (หลักประกัน) อยู่ระหว่างก่อสร้าง และคาดว่าจะยังไม่แล้วเสร็จในเวลาอันสั้น หรือคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และต้องใช้เวลานับปีกว่าจะเสร็จ ดังนั้น เพื่อให้ผู้กู้ได้มีเวลาเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเมื่อถึงเวลาจะขอสินเชื่อ (เมื่อโครงการสร้างเสร็จ) ธนาคารจึงพิจารณาสินเชื่อเบื้องต้นให้ และอาจให้คำแนะนำในกรณีที่ต้องปรับปรุงแก้ไขเครดิตของตน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโอนบ้าน
โดยปกติหากข้อมูลเครดิตที่ผู้กู้ยื่นให้ธนาคารเพื่อพิจารณาสินเชื่อ มีระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือนเมื่อนับจนถึงวันที่จะโอน (เบิกเงินกู้) ธนาคารไม่จำเป็นต้องขอข้อมูลเครดิตหรือเอกสารใหม่ แต่หากการอนุมัติเบื้องต้น เกินกว่า 3 เดือน ธนาคารจะต้องตรวจสอบข้อมูลผู้กู้จากเครดิตบูโรใหม่ และอาจต้องขอเอกสารอื่นๆ ที่เป็นปัจจุบันจากผู้กู้ใหม่เช่นกัน ซึ่งหากผู้กู้ที่ได้รับการอนุมัติเบื้องต้นไปแล้ว และไม่ดูแลเครดิตของตนเองเป็นอย่างดี ก็อาจตกม้าตายในขั้นนี้ และถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ และไม่สามารถโอนบ้านได้ตามที่วางแผนไว้ก็เป็นได้ กู้เงินซื้อบ้าน

ขั้นตอนที่ 4 ลงนามในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง
เมื่อได้รับอนุมัติกู้แล้ว คุณจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อมาลงนามในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง พร้อมทั้งนัดวันไปทำนิติกรรมจำนองที่สำนักงานที่ดิน
สำหรับการดูแลเครดิตของตน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ประการแรกคือ “อย่าก่อหนี้เพิ่ม” โดยเฉพาะภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระก้อนโตเป็นระยะเวลายาว เช่น สินเชื่อรถยนต์ นอกจากนี้ สินเชื่อผ่อนชำระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคล สินเชื่ออุปโภคบริโภค สินเชื่อบัตรเครดิต (กดเงินสดล่วงหน้า และผ่อนชำระ) ล้วนแต่เป็นการบั่นทอนความสามารถในการกู้เงินของผู้กู้ และอาจทำให้ยอดผ่อนชำระต่องวดของผู้กู้ (เมื่อรวมกับเงินกู้สินเชื่อบ้านที่ได้รับ Pre Approve แล้ว) สูงเกินกว่าความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ และธนาคารอาจปฏิเสธการให้สินเชื่อในขั้นนี้ได้
ผู้กู้อาจสงสัยว่ายอดผ่อนชำระต่อเดือนที่เพิ่มขึ้น (จากการก่อหนี้เพิ่ม) จะส่งผลกระทบต่อการกู้เงินสินเชื่อบ้านอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น การกู้สินเชื่อบ้านใหม่ 30 ปี วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ยอดผ่อนต่องวดประมาณ 6,000 บาท ดังนั้น หากผู้กู้ไม่มีรายได้ส่วนเพิ่มที่จะผ่อนสินเชื่ออื่นๆ และมีการก่อหนี้เพิ่ม โดยยอดผ่อนชำระหนี้อื่นที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1,000 บาท (ต่องวด) จะทำให้กู้บ้านได้ลดลงประมาณ 170,000 บาท
การรักษาเครดิตประการที่สองคือ “ชำระหนี้สินทุกประเภทให้เป็นปกติ” สำหรับผู้กู้ที่มีหนี้สินใดๆ ที่มีอยู่ในระหว่าง Pre Approve ผู้กู้จะต้องรักษาเครดิตโดยการผ่อนชำระหนี้ทุกประเภทอย่างสม่ำเสมอ และจะต้องไม่เป็น NPL ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารจะทำการตรวจสอบข้อมูลเครดิตซ้ำอีกครั้งหนึ่งก่อนการอนุมัติขั้นสุดท้าย หากพบว่าภายหลังการอนุมัติเบื้องต้น และผู้กู้ไม่ชำระหนี้อื่นๆ และเกิดเป็น NPL ขึ้น ธนาคารก็อาจปฏิเสธสินเชื่อที่ได้ Pre Approve แล้วได้
ทั้งนี้ ผู้ที่มีหน้าที่รักษาเครดิตไม่นับเฉพาะผู้กู้หลัก แต่รวมถึงผู้กู้ร่วมทุกคนด้วย ดังนั้น อย่าพึ่งนอนใจและใช้เงินจนมือเติบ ซื้อสิ่งของต่างๆ โดยการผ่อนชำระ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากธนาคารนะครับ