Pre-Approve ก่อนกู้สินเชื่อ เช็คความพร้อมในการซื้อบ้าน-คอนโด
การที่จะเราขอสินเชื่อจากธนาคารในการซื้อบ้าน หรือคอนโด ผู้กู้นั้นจำเป็นที่จะต้องชำระค่าจอง ค่าทำสัญญา และค่าดาวน์กับโครงการนั้นๆ ก่อนที่เราจะนำเอกสารไปขอสินเชื่อกับทางธนาคาร โดยทั้งค่าจอง ค่าทำสัญญา และเงินดาวน์เหล่านี้ เมื่อนำมารวมกันก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงอยู่พอสมควร ซึ่งหากเราขอกู้สินเชื่อจากธนาคารไม่ผ่านแล้วละกัน ก็มักจะสูญเงินในส่วนนี้ไป
แต่ใช่ว่าปัญหานี้เราจะแก้ไขไม่ได้ เพราะก่อนที่เราจะทำการจอง และลงนามในสัญญา เราสามารถทำการ Pre-Appove ที่จะช่วยเราในการตรวจสอบเบื้องต้นได้ว่าจะกู้สินเชื่อได้ผ่านหรือไม่
Pre-Approve คืออะไร?
Pre-approve สินเชื่อบ้าน หรือ การยื่นประเมินสินเชื่อบ้านในเบื้องต้นนั้นเป็นการขอตรวจสอบสถานภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ โดยพิจารณาจากราคาซื้อขายบ้านหรือคอนโดที่ผู้ขอสินเชื่อแจ้ง รายได้ รายจ่าย และเครดิตหรือความน่าเชื่อถือ เช่น ติดเครดิตบูโร (ประวัติเสียในการชำระหนี้กับบัตรเครดิตและ/หรือสินเชื่อ) หรือไม่ ชำระค่าบัตรเครดิตครบถ้วนตรงเวลาหรือไม่
หาก Pre-approve ผ่าน หมายความว่า ผู้ขอมีโอกาสดีที่จะขอสินเชื่อผ่าน แต่หากผลเป็นตรงกันข้าม ก็ยังไม่ควรที่จะจองหรือตกลงซื้อบ้านหรือคอนโดกับผู้ขาย
- การขอ Pre-approve นั้นเป็นการยื่นขอพิจารณาให้ธนาคารตรวจสอบว่า จะสามารถกู้สินเชื่อผ่านหรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนการจองบ้านหรือคอนโด การทำสัญญาจะซื้อจะขาย และการชำระค่าดาวน์ แต่การขอสินเชื่อนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องทำหลังจากดำเนินการสิ่งเหล่านี้แล้ว
- ราคาที่นำมาใช้ในการพิจารณาคือ ราคาซื้อขายบ้านที่ผู้ขอ Pre-approve แจ้ง แต่การขอสินเชื่อจะใช้ราคาจะซื้อจะขาย (ราคาจริง) พร้อมข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับบ้านหรือคอนโด ซึ่งธนาคารจะนำไปใช้ประกอบการคำนวณหาราคาประเมินที่จะนำมาใช้พิจารณาการขอสินเชื่ออีกที
- ธนาคารจะใช้เอกสารต่าง ๆ ในการขอสินเชื่อเหมือนกับเอกสารที่ใช้ในการขอ Pre-approve เพียงแต่ผู้ขอสินเชื่อต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ สัญญาจะซื้อจะขาย แผนที่บ้านหรือคอนโด และอาจขอเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกแล้วแต่กรณี
- ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการขอ Pre-approve แต่มีค่าธรรมเนียมในการขอสินเชื่อ เว้นแต่ธนาคารจะมีโปรโมชั่นยกเว้นค่าธรรมเนียมนั้น
- ระยะเวลาผลของ Pre-approve การขอ Pre-approve ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในขณะที่การขอสินเชื่อใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
- ผลที่ได้จากการขอ Pre-approve เช่น วงเงินสินเชื่อและค่าผ่อนต่อเดือน อาจแตกต่างจากผลการขอสินเชื่อ อย่างไรก็ดี อาจมีกรณีที่ Pre-approve ผ่าน แต่ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อได้ ขื้นอยู่กับและการพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ความชัดเจนของที่มารายได้ ราคาประเมินที่อยู่อาศัยที่จะซื้อ
Pre Approve แตกต่างจากการกู้จริงอย่างไร?
การ Pre Approve แทบจะเหมือนกับการกู้จริงทุกประการ ซึ่งเราจะต้องคุยกับทางธนาคาร นำเอกสารต่างๆ ไปยื่นเพื่อให้ธนาคารพิจารณา โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ผลของการ Pre Approve อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าผลการยื่นกู้จริงก็ได้ ธนาคารส่วนใหญ่จะคงสิทธิผลการ Pre Approve ไว้ประมาณ 3 เดือน หากต้องการยื่นกู้จริงก็สามารถยื่นหลักฐานประกอบต่างๆ หรือบางธนาคารสามารถใช้เอกสารเดิมได้เลยเพียงแค่ส่งใบสลิปการจ่ายค่าทำเนียมการประเมิน ก็เป็นอันเสร็จสิ้น ทำให้การกู้จริงสะดวกมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ในการขอ Pre-Approve
- ทำให้ทราบว่ามีความสามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินประมาณนี้หรือไม่ จึงช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นทั้งในเรื่องการซื้อ การขอวงเงินสินเชื่อ และการเลือกธนาคารที่จะยื่นขอสินเชื่อ
- แม้ Pre-approve ไม่ผ่าน ก็ช่วยให้ทราบว่า ต้องปรับปรุงอะไรเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ เช่น หากพบว่าความสามารถในการผ่อนไม่เพียงพอ ก็สามารถแก้ไขได้โดยจ่ายเงินดาวน์มากขึ้นเพื่อลดวงเงินในการยื่นกู้สินเชื่อหรือหาผู้กู้ร่วม หากติดเครดิตบูโร ก็ไม่ควรยื่นขอสินเชื่ออย่างน้อย 2 ปี และในระหว่างนี้ ก็ควรชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นที่มีให้ครบและตรงเวลาเพื่อสร้างประวัติเครดิตที่ดี
- ช่วยป้องกันไม่ให้สูญเสียเงินจากการผิดสัญญาจะซื้อจะขายในกรณีขอสินเชื่อไม่ผ่าน
- ช่วยป้องกันไม่ให้เสียประวัติและโอกาสในขอสินเชื่อ เพราะหากขอสินเชื่อไม่ผ่าน ต้องรออีก 1-2 ปี จึงจะสามารถยื่นขอสินเชื่อใหม่ได้
เอกสารที่ใช้ในการขอ Pre-Approve
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนารายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (Statement)
- สำเนาสลิปเงินเดือน (Payslip) สำหรับพนักงานประจำ
- สำเนาหนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่ายย้อนหลัง 6 เดือนและหลักฐานการเสียภาษีของปีล่าสุดสำหรับฟรีแลนซ์
- ใบสมัครขอสินเชื่อของธนาคาร
- ใบยินยอมให้ตรวจสอบเครดิตบูโรของธนาคาร
การ Pre-Approve ก็เป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมตัวเอง ได้พิจารณาถึงกำลังทรัพย์ และความสามารถในการผ่อนชำระคร่าวๆ ก่อนที่เราจะทำการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดจริง ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้เราได้รับอนุมัติสินเชื่อ ก็คือ กำลังทรัพย์ และการบริหารจัดการทางการเงินอย่างเหมาะสม ที่ทำให้ธนาคารเชื่อว่าเรานั้นสามารถชำระหนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ