บางคนก็เลือกที่จะนำเงินไปลงทุน บางคนก็ฝันว่าจะซื้อรถยนต์ ไว้ใช้งาน นั่งสบายๆสักคัน นั่งรถเมล์มานานตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว บางคนคิดจะซื้อบ้านสักหลัง ฝันกันไว้เยอะเลยไม่ผิดครับ ชีวิตคนปกติเรียนจบก็อยากมีบ้าน รถยนต์ และมีครอบครัวที่อบอุ่น
แล้วเราจะซื้อบ้านหรือรถยนต์ก่อนดี? คำถามนี้คล้ายๆกับคำถามว่า ”ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน” ทำนองนั้นครับ ผมขอตอบคำถามโดยแบ่งเป็นมุมมอง 2 แบบดังนี้ครับ
มุมมองที่ 1 ขึ้นกับเหตุปัจจัยความจำเป็นของแต่ละตัวบุคคล
เลือกซื้อบ้านหรือรถยนต์ก่อนก็ได้ครับ ตามความจำเป็นที่จะต้องใช้งาน และที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น
คุณมดดำเป็นคนรักสัตว์ ชอบเลี้ยงสุนัขมากๆ กรณีของคุณมดดำ จำเป็นต้องตัดสินใจซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถยนต์ เพราะคุณมดดำต้องการบ้านที่มีพื้นที่โดยรอบเพื่อเลี้ยงสุนัข
คุณหยกเลือกที่จะซื้อรถยนต์ก่อนซื้อบ้าน เนื่องจากโครงการบ้านใหม่ๆ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอย ซึ่งเวลาจะเดินทางเข้าและออกจากบ้านแต่ละครั้ง หากไม่มีรถยนต์ไว้ใช้งานสักคัน ชีวิตต้องลำบากมาก อีกทั้งเวลาจะไปซื้อบ้าน ถ้าหากไม่มีรถยนต์พาไปซื้อบ้านก็ไม่สะดวกอีกเช่นกันครับ
คุณโบนัสบอกว่า เราขอตัดสินใจซื้อบ้านก่อนซื้อรถดีกว่า เพราะบ้านและที่ดินมีมูลค่าเพิ่มตลอดทุกปี ถึงแม้บ้านจะเก่าลงก็ตาม อีกทั้งบ้านและที่ดินยังสามารถนำมาเป็นหลักประกันด้านการเงินได้อีกด้วย แต่ถ้าหากนำเงินไปซื้อรถยนต์ เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละปี มูลค่าของรถยนต์ก็จะลดลงเรื่อยๆ ค่าบำรุงรักษาก็จะเพิ่มขึ้นทุกปีๆเช่นกัน ทุนประกันภัยของรถยนต์ก็จะลดลงทุกปีเช่นกันในขณะที่จ่ายค่าเบี้ยแพงขึ้นหรือจ่ายเท่าเดิมก็ตาม
คุณไก่บอกว่าผมไม่สนเรื่องอื่นใด ขอซื้อรถก่อนซื้อบ้าน ออกรถยนต์หรูๆเลยล่ะกัน จะได้รับสาวไปเที่ยวทุกวัน
คุณเก๋ เลือกที่จะซื้อบ้านก่อนซื้อรถยนต์ เนื่องจากทุกวันนี้ครอบครัวของคุณเก๋เช่าบ้านเค้าอยู่ แต่ละเดือนก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านให้เจ้าของบ้าน สู้เราเพิ่มเงินอีกนิดเดียว ก็สามารถซื้อบ้านและผ่อนบ้านเป็นของตนเองได้แล้ว
คุณพริกบอกว่าผมขอซื้อรถยนต์ก่อนที่จะซื้อบ้านดีกว่า เนื่องจากต้องไปทำงานไกลมาก ปัจจุบันเวลาไปทำงานต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 แถมยังต้องต่อรถตู้และรถเมล์ หลายต่อทีเดียว ขอซื้อรถยนต์ก่อนดีกว่า เรื่องที่อยู่อาศัยเช่าคอนโดอยู่ไปก่อนก็ได้เราตัวคนเดียว ยังไม่มีครอบครัว
จากตัวอย่างข้างต้น เพื่อนๆเห็นไหมครับว่าขึ้นกับความอยากได้และความจำเป็นในการใช้ชีวิตจริงๆครับ
มุมมองที่ 2 พิจารณาจากความยากง่ายในการซื้อบ้านและรถยนต์
ถ้าหากพิจารณาจากความยากง่ายในการซื้อ แน่นอนครับของทั้งสองสิ่งนี้ราคาหลักใกล้ๆล้านบาทหรือล้านบาทขึ้นไป แน่นนอนใช่ไหมครับ น้อยคนที่ซื้อบ้านและรถยนต์ด้วยเงินสดในยุคนี้ ส่วนใหญ่ต้องอาศัยการขอกู้เงินจากธนาคารมาซื้อครับ
" การอนุมัติสินเชื่อรถยนต์จะง่ายกว่าการอนุมัติสินเชื่อซื้อบ้านครับ เนื่องจาก "
ระยะเวลาการผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ใช้เวลาเพียง 4-6 ปี ซึ่งสั้นกว่าระยะเวลาการผ่อนชำระค่าสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน
ในการขอสินเชื่อซื้อรถยนต์ หากผู้กู้เงินเดือนไม่สูงมาก แต่ธนาคารดูแล้วพอจะมีความสามารถในการส่งค่างวดไหว อาจจะต้องใช้คนค้ำประกัน หรือขยายเวลาการผ่อนชำระให้ยาวที่สุด เพื่อให้จำนวนเงินที่ผู้ซื้อต้องส่งค่างวดแต่ละเดือนลดลง (แต่ดอกเบี้ยเพิ่ม) เพียงเท่านี้เพื่อนๆก็สามารถซื้อรถได้แล้วครับ
สำหรับการกู้ซื้อบ้าน ซึ่งมีการผ่อนชำระที่ยาวนานถึง 20-30 ปี ดังนั้นการที่ธนาคารจะปล่อยกู้นั้น ธนาคารต้องประเมินความเสี่ยงค่อนข้างละเอียด หนี้สินต่างๆที่แสดงบนเครดิตบูโร ซึ่งธนาคารจะนำมาประเมินโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อทั้งหมดครับ
นั่นหมายความว่า หากเพื่อนๆซื้อรถยนต์ก่อนซื้อบ้าน ยอดเงินที่เรากู้ซื้อรถยนต์กับธนาคารนั้นๆ จะแสดงที่เครดิตบูโรด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เงินเดือน 20,000 บาท ซื้อรถยนต์คันละ 9 แสน ถึง 1 ล้านบาท ต้องส่งค่ารถยนต์ให้กับธนาคารโดยประมาณเดือนละ 12,000 บาท ทุกเดือนเป็นเวลา 5 ปี หนึ่งปีผ่านไป นาย ก. คิดที่จะซื้อบ้านสักหลังเป็นของตนเอง โดยมองหาจะซื้อบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น จากนั้นทำการยื่นเรื่องขอกู้เงินกับธนาคารเพื่อซื้อบ้าน เพื่อนๆคิดว่านาย ก. จะกู้ซื้อบ้านผ่านไหมครับ ตอบอย่างรวดเร็วว่ากู้ไม่ผ่านครับ เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากนาย ก. เหลือเงินไว้ใช้จ่ายเพียงเดือนละ 8,000 บาท หลังจากหักเงินที่ต้องผ่อนรถแล้ว
จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าหากมองในแง่มุมของการขอกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนๆควรจะเก็บเครดิตไว้ขอวงเงินกู้ซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถยนต์ครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับเพื่อนๆ หวังว่าคงจะได้ข้อคิดดีๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะซื้อบ้านก่อนหรือซื้อรถยนต์ก่อนดี ไม่ยากครับ “ซื้อก่อนก็ได้ใช้ก่อน” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมทางด้านการเงินของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยนะครับ วางแผนด้านการเงินให้ดี ชีวิตไม่มีสะดุดครับ