ทุกๆคนก็คงฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง แต่คงคิดในใจว่า จะทำยังไงดีน้าาา ที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง เงินเดือนเราผ่อนได้ไหมว้าา ใครมาค้ำ จะกู้ผ่านไหมน้าา วันนี้เรารวบรวมสาเหตุหลักๆที่หลายๆท่านไม่สามารถขอกู้สินเชื่อบ้านหรือคอนโดผ่านได้ ลองไปดูสาเหตุกันครับ ว่ามีอะไรบ้างและเราจะรับมียังไงดี
10 เหตุผลหลัก ที่ทำให้สินเชื่อบ้านไม่ผ่าน มีอะไรบ้าง ?
1. กู้สินเชื่อบ้านและคอนโดไม่ผ่านเพราะหนี้บัตรเครดิต
เพื่อนที่ทำงานด้านสินเชื่อของผู้เขียนฝากบอกมาว่านี่เป็นสาเหตุหลัก ๆ เลยเพราะหนี้ในบัตรเครดิตจะนำมาคิดรวมในการปล่อยกู้ด้วย โดยเฉพาะหากมีหนี้มากกว่า 40 % ของรายได้ ก็จะมีโอกาสโดนปฏิเสธสูง
2. ติดการผ่อนอะไรสักอย่าง
การผ่อนรถ หรือผ่อนของผ่านบัตรเครดิต จะถูกนำมาคิดเป็นรายจ่ายต่อเดือนด้วย ถ้ามีภาระค่าใช้จ่ายเกิน 40 % ของรายได้ก็จะถูกปฏิเสธ แต่ถ้ารายจ่ายน้อยกว่านั้นก็จะเอาไปหักจากรายได้ และทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ไม่เต็มวงเงินรายได้ของเรา ดังนั้นใครที่ติดตรงนี้อยู่ถ้าไม่สามารถจัดการชำระหนี้ทั้งหมดได้ ก็ให้รีไฟแนนซ์เพื่อให้จำนวนเงินผ่อนต่อเดือนลดลงก่อนยื่นกู้
3. ติดค้ำประกัน
จริง ๆ แล้วตรงนี้ไม่ต้องกังวล ถ้าคนที่เราค้ำประกันไม่ค้างชำระหนี้จนปรากฏอยู่บนเครดิตบูโร ดังนั้นถ้าจะไปค้ำประกันใครก็ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ หรือไม่ก็ไม่ต้องไปค้ำให้ใครเลยจะดีที่สุด
4. ไม่มีการออมเงิน
ปัญหาข้อนี้เจ้าหน้าที่สินเชื่อบางธนาคารแอบกระซิบมาว่าไม่จริง คือธนาคารจะดูเงินเก็บก็ต่อเมื่อธนาคารขาดความมั่นใจที่จะปล่อยกู้ให้คุณ เช่นวงเงินกู้ค่อนข้างสูงเมื่อเที่ยบกับรายได้ เป็นต้น แต่ถ้าคุณมีเงินเก็บธนาคารอาจจะมองว่าคุณมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน อาจจจะใจอ่อนปล่อยสินเชื่อได้
ยกตัวอย่าง หากคุณเป็นคนที่มีรายได้มาก แต่กลับไม่มีเงินออมเลย ธนาคารอาจจะถามหาเงินออมของคุณ เพราะธนาคารมองว่าการออมของคุณน่าจะทำได้ไม่ยาก การไม่มีเงินออมเป็นเพราะคุณมีหนี้ หรือกำลังลงทุนอะไรบางอย่างที่ธนาคารมองไม่เห็นหรือไม่
5. ปัญหาจากผู้กู้ร่วม
บางธนาคารจะไม่นับรายได้จากผู้กู้ร่วมที่ไม่ได้เป็นพนักงานประจำเลยนะ ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระต่าง ๆ หากเงินไม่หนา ไม่มีกิจการของตัวเอง เสียภาษีอย่างถูกต้อง ธนาคารจะไม่นำมาคิดเลย อาชีพที่ธนาคารชอบจริง ๆ จะเป็น ข้าราชการ พนักวานรัฐวิสาหกิจ แพทย์ และอัยการ ถ้ากู้ร่วมกับอาชีพเหล่านี้และพวกเขาไม่มีหนี้ การกู้สินเชื่อบ้านและคอนโดก็น่าจะทำผ่านได้ง่าย
6. ปัญหาเรื่องที่ทำงานของเราเอง
ความน่าเชื่อถือของสถานที่ทำงานเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญเลย โดยเฉพาะหากบริษัทที่คุณทำงานขาดการจ่ายภาษี ไม่ส่งประกันสังคม จ่ายเงินเดือนไม่ตรง การจะกู้ให้ผ่านจะยากมาก
7. รายได้ไม่ถึง 25,000 บ.ต่อเดือน
เหมือนจะเป็นกฏใหม่ที่ธนาคารตั้งขึ้นมาสำหรับการกู้สินเชื่อบ้านและคอนโด จน ธอส. ออกมาช่วยโดยให้สามารถกู้ร่วมได้ถึง 6 คน ซึ่งจริง ๆ แล้วในช่วงที่ข่าวนี้ออกมาผู้เขียนเองก็โทรสายตรงถึงพนักงานสินเชื่อธนาคารต่าง ๆ เหมือนกัน ปรากฏว่าหลาย ๆ ธนาคารยังไม่ได้เอากฏนี้เข้ามา เพราะยังไงก็ตามธนาคารก็จะดูที่ความสามารถในการชำระหนี้ และรายได้มากกว่า
8. ธนาคารไม่คิดรายได้ทั้งหมด
แต่ละธนาคารคิดเรื่องรายได้แตกต่างกันออกไป บางธนาคารนับแค่เงินเดือนประจำ บางธนาคารรวมค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน โบนัส โอที ค่าประชุม ฯลฯ ให้ด้วย บางธนาคารก็คิดค่าใช้จ่ายเหล่านี้แบบนับเป็นเปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กู้สินเชื่อบ้านและคอนโดแล้วไม่ผ่าน ดังนั้นก่อนยื่นกู้ลองคุยกับเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน จะได้ไม่เสียเวลา
9. คุณกำลังเปลี่ยนงาน
ตรงนี้ธนาคารก็แอบคิด ถ้าคุณพึ่งเข้าทำงานที่ใหม่และยังไม่ผ่านโปร ธนาคารเองก็จะมองว่าเป็นความเสี่ยงเหมือนกัน บางคนที่เปลี่ยนงานบ่อย ๆ ธนาคารก็ตั้งข้อสงสัยด้วยเหมือนกัน
10. อื่น ๆ
เคยเจอเคสที่ธนาคารบอกว่ายังไม่มีเหตุผลที่จะต้องซื้อ ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะที่ทำงานไม่โปร่งใส จดทะเบียนไม่ถูกต้อง และดูไม่น่าเชื่อถือทำให้ธนาคารมองว่ารายได้ที่เราได้มาอาจจะไม่ใช่รายได้ที่เชื่อถือได้ การซื้อคอนโดหรือที่อยู่อาศัยอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการฟอกเงิน โดยเฉพาะถ้าคอนโดเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดคือสาเหตุที่เราพอจะรวบรวมได้นะ บางครั้งธนาคารปฏิเสธคุณด้วยเหตุผลแปลก ๆ ก็มีเหมือนกัน แต่อย่าพึ่งตกใจไป เพราะมาตรฐานของแต่ละธนาคารแตกต่างกัน เราแนะนำให้คุณยื่นกู้ทุกธนาคารที่คุณชอบพร้อม ๆ กันไปเลย เพราะนอกจากแต่ละธนาคารจะตรวจหากันในบูโรไม่เจอแล้ว ยังเพิ่มทางเลือกให้คุณด้วย จะได้ไม่ต้องวิ่งเต้นให้เหนื่อยตอนที่ธนาคารขอนั่นขอนี่เพิ่มเติม ประมาณว่าธนาคารไหนเรื่องเยอะก็ตัดออก ธนาคารไหนข้อเสนอดีก็เลือกอันนั้น เปรียบเทียบกันไปเลย
ปัญหาที่พบบ่อยสินเชื่อบ้านไม่ผ่าน พร้อมแนะวิธีแก้ปัญหา
1. ปัญหาของการมีบัตรเครดิตหลายใบ เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้กำลังซื้อบ้านลดลง เนื่องจากธนาคารจะนำวงเงินจากบัตรเครดิตทุกใบมาคิดรวมเป็นภาระหนี้สิน ถึงแม้ว่าบัตรนั้นจะไม่ได้ใช้ก็ตาม ดังนั้นทางที่ดี เก็บไว้แต่บัตรเครดิตที่จำเป็นๆดีกว่า ใบไหนไม่ใช้ก็ควรปิด เพราะเราจะมีภาระหนี้รวมแล้วได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ทั้งหมด
2. ปัญหาจากการผ่อนสินค้าผ่านบัตรเครดิตต่างๆ ถ้าบัตรเครดิตถูกใช้ในการผ่อนสินค้า ควรรีบผ่อนให้หมดแล้วปิดทันที เพราะถ้ายังติดผ่อนบัตรอยู่ ก็จะถูกนำมาคิดรวมเวลาพิจารณาสินเชื่อด้วยเช่นกัน
3. ปัญหาไม่ตรวจเช็คเครดิตบูโร เมื่อเรายื่นกู้ทางธนาคารจะเช็คประวัติเครดิตบูโรทันที ซึ่งเครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมข้อมูลการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตทั้งยอดคงค้าง และการผิดประวัติชำระหนี้ ทางที่ดีควรเช็คก่อนยื่นกู้จะดีกว่า
4. ปัญหาติดผ่อนรถยนต์คันแรก ส่วนใหญ่แล้วปัญหาของการกู้ไม่ผ่านคือ ผู้กู้มีภาระผ่อนรถยนต์คันแรกอยู่ ดังนั้นก่อนยื่นกู้ควร Pre-approve กับสถาบันการเงิน ว่าเรายังมีความสามารถในการชำหระหนี้ได้อีกหรือเปล่า
5. ปัญหาการค้ำประกัน การค้ำประกันจะถูกธนาคารนำมาคิดเป็นภาระหนี้ด้วย ทำให้ความสามารถในการกู้ลดลงนั่นเอง
6. ปัญหาการไม่ออมเงิน การออมเงินเป็นการสร้างเครดิตที่ดีให้กับตัวเอง เพื่อที่ทางธนาคารจะมั่นใจได้ว่าเรามีวินัยทางการเงิน ดังนั้นในบัญชีควรจะมีเงินออมเป็นบัญชีฝากประจำประมาณ 1-2 ปี
7. ปัญหาของผู้กู้ร่วม ถ้าคิดจะหาผู้กู้ร่วมควรจะหาผู้กู้ร่วมที่มีเครดิตดีๆ มีอาชีพมั่นคง เช่น ข้าราชการ , พนักงานรัฐวิสาหกิจ , แพทย์ , อัยการ ทำให้เรามีโอกาสได้รับสินเชื่อได้ง่ายมากขึ้น
8. ปัญหาการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยไม่เหมาะกับกำลังซื้อ ซึ่งการเลือกซื้อบ้านเราควรจะดูด้วยว่า มีความสามารถในการชำระหนี้ได้แค่ไหน ไม่ใช่ซื้อบ้านตามความอยากได้ เพราะถ้าผ่อนไม่ไหวจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมาอีก
9. ปัญหาของระยะเวลาผ่อน ควรเลือกระยะเวลาในการผ่อนบ้านให้นานๆไว้ก่อน เช่น 25-30 ปี เพื่อไม่กระทบกับรายได้มากนัก เพราะเมื่อมีปัญหาทางการเงินขึ้นมา เราก็ยังสามารถผ่อนชำระต่อเดือนได้อยู่ แต่ถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นมีกำลังจ่ายเพิ่มขึ้น เราก็สามารถนำมาโปะได้เช่นกัน
10. ปัญหาของความไม่พร้อมในการซื้อบ้าน เพราะการซื้อบ้านจะทำให้เราเป็นหนี้ในระยะยาวมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ถ้าคิดจะซื้อบ้านแล้วก็ต้องมั่นใจในกำลังผ่อนของตัวเองว่าไหวมั้ย