ยุคนี้จะทำให้อะไรให้ชัด ให้ชัวร์ ต้องใช้บิ๊กดาต้ามาวิเคราะห์ แล้วในสมัยนี้ Booking.com บริการจองห้องพักออนไลน์ เลยใช้ฐานข้อมูลจากผู้เดินทางกว่า 19,000 คนจาก 26 ประเทศทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากความคิดเห็นของผู้เข้าพักจริงกว่า 128 ล้านรายการ สรุปเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2561 (2018) ได้ 8 เทรนด์ ดังนี้
1. นิยามใหม่ของเทคโนโลยี
ประสบการณ์เสมือนจริง (Immersive experiences) จะพัฒนาไปอีกระดับในปี 2561เนื่องจากผู้เดินทางต่างใช้เทคโนโลยีเพื่อหาข้อมูลที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางหรือที่พักก่อนตัดสินใจจอง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัลเทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยลดความยุ่งยากให้กับผู้บริโภค เพราะสามารถคาดการณ์และตัดสินใจเลือกจุดหมายที่เหมาะสมให้ได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงเปลี่ยนวิธีที่เราค้นหา จอง และสัมผัสการเดินทางแบบเดิมๆ ผู้เดินทางทั่วโลกเกือบ 1 ใน 3 (ร้อยละ29) กล่าวว่ารู้สึกสะดวกสบายเมื่อให้คอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนทริปครั้งถัดไปโดยอ้างอิงจากประวัติการเดินทางครั้งก่อนๆ นอกจากนี้ผู้เดินทางจำนวนกว่า 6 ใน 10 (ร้อยละ64) เผยว่าต้องการ “ลองก่อนซื้อ” ผ่านการใช้เวอร์ชวลเรียลลิตี (Virtual Reality) เรียกได้ว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยขจัดความเครียดและความยุ่งยากต่างๆเกี่ยวกับการตัดสินใจในการท่องเที่ยว และในปี 2561เทคโนโลยีก็จะยังคงช่วยแนะนำผู้เดินทางให้ค้นหาที่พักอย่างราบรื่นและมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีที่สุดได้
2. ฝันที่กลายเป็นจริง
ในปี 2561เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการฝันให้ไกล เพราะผู้เดินทางกว่าร้อยละ45 ต่างมีรายการของทริปที่อยากไปอยู่ในใจ และส่วนใหญ่ (ร้อยละ82) ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะออกเดินทางไปให้ได้อย่างน้อย 1 จุดหมายที่ตั้งใจไว้ ความต้องการที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ นั้นยังคงมีความสำคัญกว่าการได้ครอบครองวัตถุสิ่งของ อีกทั้งยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้คนอยากออกเดินทางและผจญภัยไปในทริปที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำอีกเรื่อยๆ
ทริปที่ติดอันดับต้นๆ ที่หลายคนตั้งใจจะทำคือการเยือนหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก โดยผู้เดินทางเกือบครึ่ง (ร้อยละ47) ตั้งเป้าว่าจะทำให้สำเร็จในปี 2561และกว่า 1 ใน 3 (ร้อยละ35) กระตือรือร้นที่จะได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นให้ถึงรสชาติ ส่วนอีกร้อยละ34 อยากไปเกาะที่มีบรรยากาศดั่งสรวงสวรรค์ และอีกร้อยละ34 อยากกระตุ้นอะดรีนาลีนที่สวนสนุกชื่อดังระดับโลก
3. เยือนสถานที่ในความทรงจำ
แม้เทรนด์การออกสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ จะกำลังมาแรง แต่ในปี2561นี้ผู้เดินทางต่างก็วางแผนที่จะไปเยือนสถานที่โปรดปรานในวัยเด็กด้วยเช่นกันโดยผู้เดินทาง 1 ใน 3 (ร้อยละ34) กล่าวว่าจะพิจารณาวางแผนกลับไปเยือนสถานที่ในความทรงจำเหมือนที่เคยสัมผัสสมัยเด็กๆในปีหน้าแต่จะเลือกออกสำรวจจุดหมายดังกล่าวในแบบที่ต่างจากเดิม
เทรนด์การเดินทางย้อนความทรงจำนั้นกำลังเป็นที่นิยมเนื่องจากผู้เดินทางจะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในอดีตเมื่อเดินทางไปถึงยังจุดหมายแห่งความทรงจำดังกล่าวแล้วนอกจากนี้ผู้เดินทางต่างเห็นตรงกันว่าการพักร้อนพร้อมครอบครัวเมื่อตอนเด็กๆ เป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่ามากที่สุด ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขยิ่งกว่าการมีความรักสมัยเด็กหรือเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของครอบครัวเสียอีก
4. เลือกเดินทางตามกระแสป๊อปคัลเจอร์–(Pop culture)
ในปี 2561รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ กีฬา และโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อการตัดสินใจจองทริปท่องเที่ยวต่างๆ เพราะผู้เดินทางต่างใช้ป๊อปคัลเจอร์เป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง กล่าวคือ 4ใน10 ของ
ผู้เดินทาง (ร้อยละ39) ได้ไอเดียการท่องเที่ยวจากการอ่านบล็อกหรือดูคลิปแนะนำของเหล่ายูทูปเบอร์ ส่วนอีกกว่า ร้อยละ36 กล่าวว่าสถานที่ซึ่งเคยปรากฏในทีวี ภาพยนตร์ หรือเอ็มวีเพลง นั้นถือเป็นแรงจูงใจให้ลองไปเยือนสักครั้งในปีที่จะมาถึง
สถานที่ยอดนิยมจากรายการโทรทัศน์ซึ่งผู้เดินทางต้องการไปเยือนมากที่สุดในปี 2561ได้แก่ โครเอเชีย สเปน และไอซ์แลนด์ โดยมีแรงบันดาลใจจากซีรี่ย์เรื่องGame of Thrones (ร้อยละ29) ตามมาด้วยลอนดอนซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่อง Sherlock และ The Crown (ร้อยละ21 และร้อยละ13 ตามลำดับ) นิวยอร์กและแมนฮัตตันซึ่งเป็นฉากของเรื่อง Billions (ร้อยละ13) และลอสแอนเจลิสตามที่เห็นในเรื่อง Entourage (ร้อยละ10)
5. การเดินทางคือการดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน
เทรนด์การท่องเที่ยวที่ได้ดูแลสุขภาพไปด้วยนั้นไม่ได้ฮอตน้อยลงแต่อย่างใดในปี 2561ที่กำลังจะมาถึงนี้เนื่องจากมีคนจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัววางแผนทริปสายสุขภาพในปี 2561 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา(จากเดิมที่มีจำนวน 1 ใน 10 ในปี 2560 เพิ่มเป็นเกือบ 1 ใน 5 ในปี 2561)
กิจกรรมที่ได้ออกกำลังกายและดูแลสุขภาพไปพร้อมๆกันที่ติดอันดับต้นๆ ในแผนเดินทางปี 2561ได้แก่ สปาหรือทรีทเมนต์ความงาม (ร้อยละ33) ปั่นจักรยานเที่ยว (ร้อยละ24) กีฬาทางน้ำ (ร้อยละ22) พักผ่อนทำดีท็อกซ์ร่างกาย (ร้อยละ17) เล่นโยคะ (ร้อยละ16) วิ่ง (ร้อยละ16) และทำสมาธิ/สงบจิตใจ (ร้อยละ15) โดยผู้เดินทางกว่าร้อยละ59กล่าวว่าการได้สัมผัสประสบการณ์ตามที่กล่าวมานั้นสำคัญ มากกว่าการครอบครองวัตถุจากการพักผ่อนเสียอีก
6. ตระหนักเรื่องการเงิน
ทุกๆ ปีผู้เดินทางต่างมีทักษะในการจัดการด้านการเดินทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการจัดสรรค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด เรียกได้ว่ามีผู้เดินทางจำนวนมากที่ตัดสินใจเรื่องทริปโดยอิงจากงบประมาณเป็นหลัก ดังนั้นจึง ไม่น่าแปลกใจที่ในปี 2561 ผู้เดินทางจะยิ่งให้ความสำคัญต่อการจัดสรรเรื่องเงินมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยผู้เดินทางเกือบครึ่ง (ร้อยละ47) จะคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วยเมื่อวางแผนการเดินทางในแต่ละปี และอีกเกือบครึ่ง (ร้อยละ48) จะดูข่าวสารสภาพเศรษฐกิจของจุดหมายปลายทางก่อนตัดสินใจเดินทาง
เมื่อผู้เดินทางรู้สึกมั่นใจกว่าที่จะทำอะไรตามสัญชาตญาณของตนเอง เทรนด์การเดินทางตามกระแสคนหมู่มากเลยไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยผู้เดินทางมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ57) นั้นต้องการท่องเที่ยวแบบอิสระตามใจตัวเองมากขึ้นใน
ปี 2561แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะท่องเที่ยวในแบบของตนเองที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อเสนอดีที่สุดแล้วนำมาจัดรวมเป็นแพ็กเกจเดินทางในแบบฉบับของตนเองโดยอาศัยการใช้แอปพลิเคชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย
7. ออกเดินทางสุดเหวี่ยงกับผองเพื่อน
ปี 2561เป็นปีสำหรับการเตรียมพร้อมวางแผนเรื่องทั้งหลายเพื่อออกเดินทางเป็นกลุ่ม เมื่อสอบถามผู้เดินทางว่าจะออกเดินทางพร้อมใครบ้างในปีหน้า คำตอบที่มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับปี2560คือการออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมกลุ่มเพื่อน โดยเพิ่มจากเดิมที่ร้อยละ21เป็นร้อยละ25
การท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนถือได้ว่าเป็นการเข้าสังคมอย่างเต็มที่ที่สุดที่จะช่วยให้ได้หลบหนีจากความกดดันที่พบในชีวิตประจำวัน คลายความเครียด และสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่ทำให้โลกอยู่เพียงแค่ปลายนิ้วเรา จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เหล่าผู้เดินทางแบบกลุ่มจะค้นหาที่พักสุดเพอร์เฟคท์ สำหรับออกไปสำรวจและผจญภัยในทั่วทุกมุมโลกกับกลุ่มเพื่อนอีกทั้งทริปเดินทางพร้อมกลุ่มเพื่อนนั้นมีข้อดีในเรื่องของเงินงบประมาณ
โดยผู้เดินทาง 4 ใน 10 (ร้อยละ42) กล่าวว่า การพักผ่อนร่วมกับเพื่อนๆ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้เลือกที่พักที่ราคาสูงขึ้น ซึ่งปกติหากมาคนเดียวอาจมีงบไม่พอ
8. อยู่อย่างคนท้องถิ่น (แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน)
ในปี 2561บ้านพักให้เช่าระยะสั้นจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน ไม่ใช่เฉพาะในฝั่งของผู้เดินทางที่มองหาที่พักสำหรับทริปเท่านั้น แต่ในฝั่งของเจ้าของบ้านพักที่อยากเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาพักด้วยเช่นกัน โดยผู้เดินทาง 1 ใน 3 (ร้อยละ33) กล่าวว่าอยากพักที่สถานตากอากาศ (บ้านพักตากอากาศหรืออพาร์ตเมนต์) มากกว่าพักที่โรงแรมแบบทั่วไป และ 1 ใน 5 (ร้อยละ21) ก็มีแผนจะเปิดบ้านพักของตนเองให้จองออนไลน์บนเว็บไซต์ด้านที่พักและการเดินทางในปีหน้า
เมื่อเอ่ยถึงบทบาทของโฮสดูแลที่พัก ผู้เดินทางต่างเผยว่าโฮสไม่จำเป็นต้องอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา แต่หากอยากสัมผัสประสบการณ์อย่างคนท้องถิ่นก็จะสอบถามโฮส โดย 1 ใน 4 (ร้อยละ25) กล่าวว่าข้อสำคัญคือโฮสควรมีความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารและสถานที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันผู้เดินทางก็ต้องการความยืดหยุ่นสำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์กับโฮสตามที่ตนเองสะดวก
“เนื่องจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาล้ำหน้าไปเรื่อยๆ วิธีการเดินทางท่องเที่ยวของเราจึงมีความล้ำหน้าด้วยเช่นกัน เพราะเทคโนโลยีช่วยให้วางแผนทริป ออกสำรวจโลกกว้างได้ไกลกว่าเดิม ง่ายดายกว่าเดิม ยืดหยุ่นกว่าเคย และมีตัวเลือกมากกว่าที่เคยมีมา ทั้งยังทำให้มั่นใจในการออกเดินทางมากยิ่งขึ้น เมื่อความคาดหวังสูงขึ้นและเทรนด์ใหม่ๆ ก็เพิ่มขึ้น Booking.com ในฐานะผู้ให้บริการจองห้องพักด้วยเทคโนโลยีผ่านอินเตอร์ จึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในการช่วยและแนะนำผู้เดินทางให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในปี 2561ที่กำลังจะมาถึงนี้” เปแปน แรฟเวอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Booking.com กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่มาของการทำสำรวจเทรนด์การท่องเที่ยวในครั้งนี้