
อัพเดตขั้นตอนขออนุญาตติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” เหลือกี่ใบอนุญาต หลัง ครม.ไฟเขียวไม่ต้องขอใบอนุญาต รง.4 เพื่อปลดล็อกเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในทุกภาคส่วน
เดิมกฎหมายโรงงานกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Rooftop ที่มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการตามมาตรา 47 และมาตรา 48 ประกอบไปด้วย ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4), ใบขออนุญาตก่อสร้างอาคาร อ.1 และใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม พค.2

แต่หลังจาก ครม.มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ … (พ.ศ. …) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 กำหนดยกเว้นให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน
ทำให้ขั้นตอนการขอใบอนุญาตลดเหลือเพียง 2 ใบอนุญาตเท่านั้นในใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับอาคาร ตามมาตรา 48 โดยมีรายละเอียดและขั้นตอนของแต่ละใบอนุญาต ดังนี้
1. ใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานตามมาตรา 47

ใบอนุญาตประเภทแรกเป็นเอกสารที่ต้องดำเนินการขอกับทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. โดยมีใบอนุญาต 2 ประเภทแยกย่อย คือ
ซึ่งทาง กกพ.ให้หลักเกณฑ์แบ่งแยกที่ว่า ถ้ามีการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากกว่าหรือเท่ากับ 1,000 kWp (1Mp) จะถือว่าเป็นผู้ประกอบกิจการพลังงาน ให้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน หากน้อยกว่านั้นก็ขอใบอนุญาตยกเว้นไม่เป็นผู้ประกอบกิจการพลังงานตามวรรคสาม เป็นกิจการที่ต้องมาแจ้งต่อสำนักงาน หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ cleanenergyforlife.net
2. ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับอาคารตามมาตรา 48

ใบอนุญาตสำหรับอาคาร, โรงงาน หรือนิคมอุตสาหกรรม จะมี 4 ประเภทแยกย่อยตามรูปแบบธุรกิจ และลักษณะของสิ่งปลูกสร้าง โดยมีหน่วยงานผู้รับผิดชอบที่แตกต่างกัน ดังนี้
-
ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4)
-
ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารควบคุม (อ.1)
-
ใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุม (พค.2)
ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กกพ.มีหน้าที่ต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานข้างต้นนั้น หมายความว่า เราจะต้องได้รับใบอนุญาตในข้อนี้ ก่อนการติดตั้งระบบ และนำไปประกอบเอกสารสำหรับการยื่นขอรับใบอนุญาตในข้อที่ 1 แต่เราไม่จำเป็นต้องขอทั้งหมด ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละโครงการ อยู่ที่ว่ากำลังผลิตของเราที่จะติดตั้งมีขนาดเท่าไหร่ อาคาร/โรงงาน และโครงการดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานไหน
ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร อ.1
- ผู้ประกอบกิจการสามารถยื่นคำขอรับอนุญาต พร้อมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ที่สำนักงาน กกพ. ทั้งในกรุงเทพฯ และสำนักงาน กกพ.ประจำเขต
สำนักงาน กกพ.จะขอความเห็นประกอบการพิจารณาอนุญาตไปยังหน่วยงานท้องถิ่น โดยหน่วยงานท้องถิ่นจะเสนอความเห็นประกอบ การพิจารณาให้อนุญาตแก่ กกพ. ภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือสอบถามความเห็นจากสำนักงาน กกพ. (ขยายได้ 2 คราว คราวแรกไม่เกิน 20 และคราวที่สองไม่เกิน 15 วัน) โดยสำนักงาน กกพ.จะแจ้งผลการพิจารณาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความเห็นจากหน่วยงานท้องถิ่น
ทั้งนี้กรณีที่ตรวจพบว่าแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน หรือรายการ คำนวณที่ยื่นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้ผู้ยื่นขออนุญาตดำเนินการ แก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด และเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะตรวจพิจารณาและเสนอความเห็นมายัง กกพ. ภายใน 10 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องแก้ไข
- การให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง อาคาร รื้อถอนอาคารเป็นอำนาจหน้าที่ร่วมกันของสำนักงาน กกพ. และหน่วยงานท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การกำกับดูแลอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารยังเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น
ใบอนุญาต พค.2

พระราชกฤษฎีกากำหนดพลังงานควบคุม พ.ศ. 2536 ออกตามความในพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดให้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีขนาดการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไปเป็นพลังงานควบคุม ซึ่งการอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุมหรือใบอนุญาต พค.2 ตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
และเนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดประเภทขนาด และลักษณะของกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2552 ออกตามความในพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กำหนดให้กิจการผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานจาก กกพ.
รวมทั้งผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเองเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น (Emergency Backup Generation) และผลิตไฟฟ้าใช้ในกิจการตนเองโดยไม่พึ่งพากับไฟฟ้าจากระบบ (Stand Alone) ไม่เข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการพลังงานที่ต้องได้รับอนุญาตจาก กกพ.

ดังนั้นผู้ที่มีการผลิตพลังงานไฟฟ้าซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไปต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไป แต่ต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ ที่เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบกิจการพลังงานและได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน รวมถึงผู้ที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเองเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น (Emergency Standby)
และผู้ผลิตไฟฟ้าใช้ในกิจการตนเองโดยไม่พึ่งไฟฟ้าจากระบบ (Stand Alone) ที่มีกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไป จะต้องยื่นขออนุญาตผลิตพลังงานควบคุมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)
2. ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไป ที่เข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการพลังงานจะต้องยื่นขออนุญาตผลิตพลังงานควบคุมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ด้วยตนเอง
ข้อมูลจาก กกพ.