เกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาให้สินเชื่อ
เรามาดูกันคร่าวๆ ก่อนค่ะว่า โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวทางกว้างๆ ให้แต่ละธนาคารมอง หรือพิจารณาเรื่องอะไรบ้างเวลาจะให้สินเชื่อบ้าน / คอนโดแก่ลูกค้า
1. ข้อมูลส่วนตัวของผู้ขอสินเชื่อ ซึ่งประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล เพศ สถานภาพสมรส อาชีพ รายได้ หลักทรัพย์ที่มีแหล่งที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ และประเภทหนี้ ตลอดจนวัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ หลักๆ ก็คือสิ่งที่ธนาคารเรียกกันภายในว่า KYC (Know Your Customers)
2. ประวัติการขอสินเชื่อ และประวัติการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ หรือที่เรียกว่าข้อมูลเครดิต โดยธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อบุคคล หรือหนี้เช่าซื้อรถที่มีอยู่เดิม
3. นโยบายการให้สินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น กำลังต้องการบุกตลาดสินเชื่อที่พักอาศัยรายย่อย ประเภทของหลักประกันที่ต้องการ เป็นต้น ตลอดจนเครื่องมือ วิธีการและขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการเงิน เช่น เกณฑ์ในการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ
4. ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น หรือสภาวะตลาด หรือความอิ่มตัวของธุรกิจบ้าน หรือคอนโด ณ ขณะนั้น
บัตรเครดิตจะกระทบกับการกู้ซื้อบ้าน / คอนโดยังไงได้บ้าง ?
จากเกณฑ์ทั่วไปข้างต้น หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วการใช้บัตรเครดิตจะมีผลมากน้อยแค่ไหนกับการขอสินเชื่อบ้าน / คอนโด เรามีคำอธิบายพร้อมทางออกให้ทราบดังนี้ค่ะ
สาเหตุที่อาจโดนปฏิเสธ
1. มีประวัติค้างชำระที่ไม่ดี
ประวัติการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักอย่างหนึ่งตามที่พูดมาข้างบน ซึ่งโดยปกติแล้ว ธนาคารจะตรวจสอบสถานะหนี้บัตรเครดิตย้อนหลังจากเครดิตบูโร โดยดูประวัติการค้างชำระในระยะเวลา 1-3 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง เคยค้างชำระ หรือถึงขั้นโดนฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งถ้าประวัติไม่ดีก็แน่นอนว่าจะกระทบกับการอนุมัติสินเชื่อบ้าน/คอนโดที่ธนาคารกำลังพิจารณาให้เราได้
2. มีบัตรเครดิตหลายใบเกินไป หรือวงเงินสูงเกินไป
ธนาคารอาจมองว่ามีบัตรเครดิตมากเกินจำเป็น มีโอกาสก่อหนี้เพิ่มในอนาคต โดยเฉพาะถ้าแต่ละบัตรชำระแค่ขั้นต่ำ หรือมียอดหนี้สูงมากในแต่ละเดือน หรือเอามาใช้กดเบิกเงินสดบ่อยๆ และเจ้าของบัตรเป็นคนที่มีรายได้แบบเดือนชนเดือน ถ้าเข้าเงื่อนไขพวกนี้ ก็มีแนวโน้มว่าธนาคารอาจปฏิเสธสินเชื่อเอาได้ง่ายๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ขอสินเชื่อที่มีบัตรเครดิตหลายใบไม่ได้หมายความว่าจะโดนปฏิเสธเสมอไป เพราะหากเจ้าของบัตรมีรายได้สูงๆ และชำระหนี้บัตรเต็มตามจำนวน และตรงเวลาเสมอ ก็อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
3. ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต สูงเกินไป หรือใช้จ่ายเต็ม Maximum วงเงินทุกเดือน
โดยปกติ ธนาคารจะไม่ต้องการให้สัดส่วนภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน (ซึ่งจะรวมยอดหนี้บัตรเครดิต และยอดผ่อนบ้าน/คอนโดที่กำลังจะกู้นี้อยู่ด้วย) สูงเกินกว่า 60% ของรายได้รายเดือน โดยเวลาธนาคารคำนวณฝั่งรายจ่าย ธนาคารจะใช้ยอดรายเดือนที่ต้องชำระขั้นต่ำ 10% เป็นเกณฑ์ ดังนั้น ถ้าผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการใช้บัตรเครดิตค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่าย หรือหนี้อื่นๆ ด้วยแล้ว (เช่นอาจมีหนี้ผ่อนรถยนต์ด้วย) อาจเกินกว่า 60% ของรายได้ ธนาคารบางรายก็อาจปฏิเสธการให้สินเชื่อได้ ถึงแม้ว่า ณ ขณะยื่นกู้นั้น เจ้าของบัตรอาจไม่ได้ผิดนัดหนี้บัตรเครดิตเลยก็ตาม
ตัวช่วย หรือทางออก
หากหนี้บัตรเครดิตเรา มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบในทางลบกับการขอสินเชื่อบ้าน/คอนโดที่เรากำลังยื่นขออยู่ ขอนำเสนอทางออก หรือวิธีการเพิ่มโอกาสได้รับสินเชื่อดังต่อไปนี้ให้ลองพิจารณา หรือทำตามดูนะคะ
- ถ้ายังมีหนี้ค้างชำระอยู่ ให้ชำระหนี้คืนให้หมด และในแต่ละงวดก็ควรชำระเต็มจำนวน
- ลองหาทางเพิ่มรายได้ เช่น หางานเสริมเพื่อแสดงให้ธนาคารเห็นถึงศักยภาพในการชำระหนี้ในอนาคตที่อาจจะเพิ่มขึ้น
- หาคนกู้ร่วม (ถ้าจะให้ดีหาคนกู้ร่วมที่ไม่มีภาระหนี้ หรือมีรายได้สูง) เพื่อเพิ่มรายได้รวมให้มากขึ้น
- ลดวงเงินกู้ลง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อโดยธนาคาร
- บัตรบางใบที่ไม่จำเป็นก็อาจปิดไปเสีย (เพราะบางธนาคารอาจมองว่าจะเป็นช่องทางให้ก่อหนี้เพิ่มในอนาคตได้ โดยเฉพาะใบที่วงเงินเยอะๆ และอาจจะกระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตได้)
- ถ้าปัญหาของเราอยู่ที่ยอดค่าใช้จ่ายในบัตรสูงเกินไป หรือใช้เต็มวงเงินตลอด เราควรลดค่าใช้จ่ายบัตรในแต่ละเดือนให้ไม่เกิน 15 - 20% ของรายได้
- ก่อนยื่นขอกู้ มี 2 เรื่องที่เราควรทำคือ
(ก) ไม่ควรใช้บัตรเครดิตไปกดเงินสดเป็นอันขาด
(ข) หากเราเพิ่งจ่ายหนี้บัตรเครดิตครบ แล้วยื่นกู้เลย บางทีข้อมูลเราในเครดิตบูโรอาจยังไม่ Update นะคะ ดังนั้น เราควรเข้าไปตรวจเช็คข้อมูลเครดิตบูโรก่อนยื่นก็ดี