แสงสว่างเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต บ้านเนอวานาทุกโครงการจึงออกแบบให้แสงสว่างจากธรรมชาติส่องถึงทุกมุม แต่เพื่อให้การทำกิจกรรมราบรื่นตลอดวัน การนำแสงประดิษฐ์หรือหลอดไฟมาใช้เพื่อชดเชยแสง หรือเพิ่มความเข้มข้นของแสงเฉพาะจุดก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเกี่ยวกับแสง และการเลือกใช้หลอดไฟชนิดต่างๆเพื่อให้มองเห็นรายละเอียดได้อย่างเต็มตา
โทนสีของแสง
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าแสงที่สว่างออกมาจากหลอดไฟแต่ละดวงนั้นมีโทนสีที่แตกต่างกัน และแต่ละโทนก็ให้ความรู้สึกทางอารมณ์และสร้างบรรยากาศให้ห้องนั้นๆ เป็นไปในทิศทางที่ต่างกัน และยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็นด้วย
สีของแสงหรือเรียกอีกอย่างว่า “อุณหภูมิสี” (Color Temperature) มีหน่วยเป็นเคลวิน (Kelvin) คือค่าที่บอกเราว่าแสงที่ได้มีความขาวบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ถ้าหลอดไฟมีค่าอุณหภูมิสีของแสงน้อย แสงที่ได้จะออกมาในโทนสีเหลือง แต่ถ้าค่าอุณหภูมิสีของแสงสูงขึ้น แสงที่ได้จะออกมาในโทนสีขาวหรือสีขาวอมฟ้า ซึ่งหลอดไฟที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือกอยู่ 3 โทนสีหลัก คือ
- หลอดไฟ Warm White มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 2,500-3,300 เคลวิน ให้แสงในโทนส้ม ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ผ่อนคลาย เป็นกันเอง เหมาะนำไปใช้ในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำ หรือมุมอ่านหนังสือในตอนกลางคืน แต่แสง Warm White จะทำให้สีที่สะท้อนกลับมาผิดเพี้ยนไม่ตรงตามจริงได้ เช่น เห็นเสื้อสีขาวเป็นสีนวลจึงควรระมัดระวังหากติดตั้งในบริเวณที่มีกิจกรรมที่ต้องการเห็นค่าสีของวัตถุที่ถูกต้อง
- หลอดไฟ Cool White มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 4,000 เคลวิน แสงจะออกมาทางสีขาว เป็นสีโทนเย็น ดูแล้วสบายตา นิยมใช้กันในร้านค้าต่างๆ เพื่อช่วยให้สีสันของสินค้าดูสดใสกว่าความเป็นจริง
- หลอดไฟ Daylight มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 6,000-6,500 เคลวิน ถือเป็นสีมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้สีใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ จึงไม่ทำให้สีของวัตถุที่สะท้อนกลับมาผิดเพี้ยนหรือหลอกตา แสง Daylight สามารถใช้ได้กับทุกที่ที่ต้องการความสว่างสดใส ช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า สดชื่น
การใช้งานของทั้ง 3 โทนสีนี้ยังสามารถผสมผสานรวมกัน เพื่อไม่ให้โทนสีใดสีหนึ่งเด่นเกินไปได้อีกด้วย เช่น ใช้หลอดไฟ Warm White และ Cool White ในห้องทานข้าวจะช่วยให้บรรยากาศดูอ่อนโยน ในขณะที่อาหารก็ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น หรือใช้หลอดไฟ Warm White เพื่อเน้นเฟอร์นิเจอร์ให้ดูโดดเด่นท่ามกลางแสง Daylight เป็นต้น
ประเภทของหลอดไฟ
สำหรับประเภทหลอดไฟที่นิยมใช้ในบ้านทุกวันนี้มี 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. หลอดไส้
เป็นหลอดไฟที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานไฟฟ้าผ่านขดลวดแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนจัดจนเปล่งแสงออกมา โดยปัจจุบันมีพัฒนาการมากขึ้นโดยบรรจุสารตระกูลฮาโลเจนเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือที่รู้จักกันในนามหลอดทังสเตนฮาโลเจน หลอดชนิดนี้นิยมใช้เพื่อเน้นบรรยากาศในห้อง หรือบริเวณที่ต้องการความสว่างเป็นพิเศษ เช่น ใช้ในตู้โชว์ หรือส่องรูปภาพบนผนังให้โดดเด่น เป็นต้น
2. หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
หรือที่รู้จักกันในนามหลอดตะเกียบ ใช้การส่งผ่านประจุอิเล็คตรอนจากขั้วลบผ่านสารเรืองแสงที่ใช้เคลือบหลอดไฟไปยังขั้วบวกเพื่อทำให้เกิดแสงสว่าง เป็นหลอดที่นิยมใช้งานเนื่องจากมีอายุการใช้งานยาวนาน ให้แสงสว่างสูง และประหยัดไฟได้ร้อยละ 75-80 ของหลอดไส้ สามารถติดตั้งให้แสงสว่างทั่วไปทั้งภายในและภายนอกอาคาร และบริเวณที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้นานๆ เช่น ประตูรั้วหน้าบ้าน
3. หลอด LED (Light Emiting Diodes)
เป็นแสงประดิษฐ์ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยเพราะเป็นหลอดไฟขนาดเล็กที่สุดแต่ให้แสงสว่างได้ดีไม่แพ้บรรดาหลอดไฟที่มีมาก่อน แถมยังไม่แผ่ความร้อนจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของหลอดยาวนานขึ้น หลอดไฟประเภทนี้สามารถเปิด-ปิดได้บ่อยครั้งโดยไม่เสื่อมสภาพไปตามจำนวนการกดสวิตช์ นอกจากนี้ยังไม่มีการปล่อยรังสียูวี หรือก๊าซอันตรายอีกด้วย โดยเราสามารถใช้หลอด LED ได้ในทุกๆ จุดของบ้าน ทั้งในรูปแบบของการให้แสงสว่างทั่วไป และ Lighting Design เพื่อทำให้บ้านมีมิติไม่จำเจ
นอกจากเลือกประเภทและโทนสีของแสงหลอดไฟแล้ว เรายังจำเป็นต้องพิจารณาถึงกำลังในการกินไฟหรือที่เรียกว่าจำนวนวัตต์ (Watt หรือ W) ให้เหมาะสมเพื่อที่จะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประหยัดค่าไฟในอนาคต เพราะยิ่งวัตต์มาก แสงที่ได้ก็สว่างมาก และกินไฟมากด้วยเช่นกัน
การเลือกใช้ไฟให้เหมาะสมนั้น ต้องนำทั้งศาสตร์ความรู้เรื่องแสงและเรื่องหลอดไฟมาผสมกับศิลปะในการออกแบบที่มากด้วยจินตนาการเพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศของบ้านให้น่าอยู่อาศัยยิ่งขึ้น ซึ่งบ้านเนอวานาได้ดีไซน์ทั้งแสงธรรมชาติและแสงประดิษฐ์ไว้อย่างกลมกลืนเพื่อให้ทุกคนสัมผัสถึงสุนทรีย์แห่งแสงและเงา พร้อมใช้ประโยชน์เพื่อเติมเต็มความสุขของชีวิต