
เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งไม่เว้นแม้แต่ละวัน ทำให้อุตสาหกรรมของสินค้าประเภทไอที อิเล็กทรอนิกส์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เช่น โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เป็นจอสัมผัสทั้งหมดไม่มีปุ่มกดแล้ว คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดบางลงอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์หรือทีวีที่มีวิวัฒนาการจากจอภาพหลอดแก้วขนาดใหญ่โตมาเป็นจอ LCD ที่ลดความหนาลงไปได้มาก จนมาถึงเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ OLED

ปัจจุบันในท้องตลาดจึงมีทีวีหลากหลายแบบ หลายจอ หลายฟีเจอร์ให้เลือกในระดับราคาที่สามารถเลือกได้ อย่างไรก็ตามหลายคนอาจจะข้องใจว่าเทคโนโลยีแสดงผลแต่ละแบบต่างกันอย่างไรเพราะราคามันแตกต่างกัน เรามาดูความแตกต่าง ระหว่างเทคโนโลยีแสดงผลแบบ LED TV LCD TV และ OLED TV กัน

LCD TV
LCD TV (Liquid Crystal Display) ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆ หลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกําเนิดแสง (Backlit) ทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ก่อนแสดงผลออกมาสีสันต่างๆ ที่เราเห็นบนจอภาพนั่นเอง
ข้อดีของ LCD TV มันจะให้สีที่สว่างสดใสเหมาะกับการแสดงสีกราฟิก เช่น การ์ตูน, สารคดี และละคร นอกจากนี้ความสดใสของหน้าจอเพราะมันเหมาะกับการนำไปเป็นจอมอนิเตอร์ที่ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขก (หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร LCD TV ก็จะเหมาะสมกว่า)
LED TV
LED TV (Light Emitting Diode) เป็นประเภทของทีวียอดนิยมมากที่สุดในตลาด ต่อยอดเทคโนโลยีมาจาก LCD สำหรับ LED TV เป็นหลอดไฟขนาดเล็กจิ๋ว และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ําเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆ ให้แสงสว่างได้ดีว่า LCD กินไฟน้อยกว่า และตัวเครื่องมีความบางยิ่งขึ้นอีกด้วย
- EDGE LED ตัวเครื่องมีขนาดบางลง และกินไฟน้อยกว่า LCD TV แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการแสดงสีสันที่จะด้อยกว่าประเภท Full LED
- Full LED จะเหนือกว่า EDGE LED ในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพคมชัด สีสันสดใส Contrast สูง มีการจัดวางหลอด LED เต็มแผงหน้าจอ ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความหนาขึ้น
- RGB LED เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของ LED เนื่องจากใช้หลอด LED 3 สีคือ RGB (แดง, เขียว, น้ำเงิน) เป็นตัวกำเนิดแสงมาจับเป็นกลุ่มเรียงเต็มแผงหน้าจอ พร้อมใช้เทคโนโลยี Local dimming แบบเดียวกับ Full LED ช่วยให้การแสดงผลภาพและสีสันมีความถูกต้อง ชัดเจน มีมิติมากกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นกว่าทั้งสองประเภทที่กล่าวมา
ข้อดีของ LED TV ทีวีประเภทนี้ลักษณะจอมีขนาดบางกว่าจอ LCD และจอ Plasma มีความสว่างและสีสันค่อนข้างสดกว่า และที่สำคัญมันกินไฟน้อยกว่าจอ LCD TV

OLED TV
OLED TV คือ Organic light-emitting diode (OLED) คือไดโอดเปล่งแสง (LED) ที่ถูกออกแบบเป็นฟิล์มแผ่นบางๆ ซึ่งมี organic compound เพื่อทำปฏิกิริยาคล้ายกันกับที่อุปกรณส่งแสงแบบ LED เม็ดเหลี่ยมๆ ทั้งหลายนั่นเอง ข้อดีของมันคือ มันสามารถควบคุมตำแหน่งและความสว่างของแสงได้แม่นยำมาก และในบางรูปแบบจอนั้นสามารถคุมเฉดสีของแสงที่เปร่งเป็นโทนสีแดง, สีเขียว, สีน้ำเงินได้อีกด้วย (แน่นอนว่าต้นทุนสูงขึ้นไปอีกระดับ)
OLED TV เปรียบเหมือนการนำข้อดีของ LCD/LED TV และ Plasma TV มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ประสิทธิภาพของ OLED TV คือไม่ต้องใช้พลังงานมากเท่า Plasma TV ทว่ายังให้ระดับความสว่างสูงเทียบเท่า LCD/LED TV ซึ่งสว่างสู้แสงได้ดีกว่า Plasma มาก เซลล์สร้างภาพของ OLED TV สามารถเปล่งแสงได้ด้วยตนเอง เมื่อไม่ต้องพึ่งไฟส่องด้านหลัง และเซลล์สร้างภาพควบคุมการเรืองแสงได้อิสระในระดับ Sub-pixel (RGB) จะเปิด ปิด หรี่ระดับใดก็ทำได้อย่างอิสระ ระดับ Black Level ของ OLED TV จึงดีกว่า LCD/LED TV
จอ OLED เป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปร่งแสงได้ในขนาดที่บางมาก ไม่ได้มีดีแค่บางเท่านั้น แต่ยังสามารถดัดแปลงเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับชิ้นส่วนการแสดงผลได้อย่างไร้รอยต่อ เมื่อประกอบรวมกันแล้ว ทำให้เราได้จอแสดงผลที่กินไฟต่ำพิเศษ พาแนลหน้าจอบางพิเศษ
การรองรับโทนสีที่กว้างเกินกว่าจอ LCD หรือจอ LED ทั่วไปจะทำได้ และการคุมโทนสีดำที่มืดสนิทได้ เนื่องจากการการเปร่งแสงทำในระดับพิกเซล จอ OLED จึงเป็นที่ยอมรับในวงการว่าเป็นเทคโนโลยีจอภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้จริง เห็นความแตกต่างจากเทคโนโลยีเก่าได้อย่างชัดเจน
OLED TV เป็นทีวีที่ตัวแสดงผลและตัวกำเนิดแสงถูกผลิตมาเป็นแผงชุดเดียวกัน สามารถกำเนิดแสงด้วยตัวมันเอง ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟใดๆ มาฉายแสงด้านหลังเพื่อให้ภาพปรากฏ ข้อดีคือ ไม่มีข้อจำกัดในมุมมองการรับชม Contrast ratio โดดเด่นเหนือกว่าเทคโนโลยีอื่น และร้อนน้อยที่สุดในบรรดาเทคโนโลยีแสดงผลทั้งหมดที่กล่าวมา
เมื่อรู้ว่าทีวีแต่ละเทคโนโลยีต่างกันอย่างไร ทำไมราคาจึงไม่เท่ากัน ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านมีไอเดียในการเลือกพิจารณาหากจะซื้อทีวีสักเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณที่ตั้งไว้กันนะครับ