
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ดูเหมือนจะยืดเยื้อ ทำให้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างขึ้น รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการเยียวยา เพื่อบรรเทาผลกระทบทั้งในภาคธุรกิจ ลูกจ้าง ประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา มาตรการของภาครัฐที่ทยอยออกมาก็มีอยู่หลายมาตรการ วันนี้เรา จึงรวบรวมมาไว้ เพื่อให้้ได้ดูกันว่า มีเงื่อนไขใดที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้บ้าง มาดูกันเลยครับ 
มาตรการชดเชยรายได้ พยุงกำลังซื้อประชาชน 

1 มาตรการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มลูกจ้าง แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม อาทิ ลูกจ้างสนามมวย ลูกจ้างโรงแรม คนรับจ้างเข็นผัก เป็นต้น โดยจะให้ลงทะเบียนผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ และจะได้รับเงินเยียวยาผ่านบัญชีธนาคารที่มีอยู่ หรือบัญชีที่ผูกกับพร้อมเพย์ หมายเลขบัตรประชาชน ซึ่งล่าสุดยอดผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการทะลุ 20 ล้านรายแล้ว แต่ก็ยังสามารถลงทะเบียนได้เรื่อยๆ ก่อนที่รัฐบาลจะปิดการลงทะเบียนและทยอยพิจารณาผู้ที่ผ่านเงื่อนไข พร้อมทั้งจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้เข้าร่วมโครงกรต่อไป
หลังจากลงทะเบียนแล้วอยากรู้สถานะของตนเอง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ตรวจสอบ 3 สถานะ ขึ้นแบบไหนถึงจะได้ 5,000 บาท

2 มาตรการเยียวยา กลุ่มลูกจ้างในระบบประกันสังคม-มีรายได้ประจำ เช่น พนักงานบริษัท พนักงานห้างสรรสินค้า พนักงานสถานศึกษา พนักงานของสถานประกอบการ รัฐก็ได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือ ได้แก่
- กรณีนายจ้างหยุดกิจการ-นายจ้างปิดเอง ประกันสังคมจ่ายชดเชยร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ไม่เกิน 180 วัน (ไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน)
- กรณีรัฐสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราว จะจ่ายชดเชยร้อยละ 50 ไม่เกิน 60 วัน (ไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน)
- กรณีลาออก จ่ายประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตน ร้อยละ 30 ไม่เกิน 90 วัน (4,500 บาท/เดือน)
- กรณีเลิกจ้าง จ่ายประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตน ร้อยละ 50 ไม่เกิน 180 วัน (7,500 บาท/เดือน)
- ขณะเดียวกัน ยังได้ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม กรณีผู้ประกันตนมาตรา 33 จาก 5 % เหลือ 1 % และกรณีมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 7 % เวลา 3 เดือน และขยายเวลาส่งเงินสมบท งวดค่าจ้างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2563 ออกไป 3 เดือน
- ออกร่างกฎกระทรวงเพิ่มเติม เพิ่มประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจรับประโยชน์ทดแทนตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2563 ถึงวันที่ 28 ก.พ. 2565 ร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายวัน เพราะเหตุถูกเลิกจ้าง โดยให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 200 วัน
- ออกร่างกฎกระทรวงเพิ่มเติม เพิ่มอัตราเงินทดแทนกรณีว่างงานร้อยละ 45 ของค่าจ้างรายวัน เพราะเหตุลาออกจากงานหรือเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้าง โดยให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน
- ออกร่างกฎกระทรวงเพิ่มเติม ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 79/1 มีสิทธิได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราเต็มจำนวน 100% ของค่าจ้างรายวัน ไม่เกิน 180 วัน
หากใครที่เป็นลูกจ้างในระบบประกันสังคม ให้ไปแจ้งว่างงานได้ที่สำนักงานจัดหางานทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ ดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ กรมการจัดหางาน https://www.doe.go.th/prd/ หรือ ขึ้นทะเบียนว่างงานที่ https://empui.doe.go.th/auth/index และดูข้อมูลการขึ้นทะเบียนว่างงาน กรณีถูกเลิกจ้างด้วยผลกระทบโควิด-19 ที่ https://www.sso.go.th/eform_news/

3 มาตรการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องให้ไว้กับการไฟฟ้าฯ เพื่อเป็นเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เผื่อกรณีผู้ใช้ไฟฟ้าไม่จ่ายค่าไฟก็จะได้ยึดเงินประกันไป โดยปกติการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะคืนเงินส่วนนี้ ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก ก็ต่อเมื่อเจ้าของบ้านเดินทางไปทำเรื่องยกเลิกใช้ไฟฟ้า ซึ่งมาตรการนี้ รัฐจะคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟที่เป็นที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ตามอัตราค่าธรรมเนียมที่ได้จ่ายไว้กับการไฟฟ้าฯ ที่จะแตกต่างกันไป ตามขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าของแต่ละบ้าน ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมเงินประกันคืนเมื่อยกเลิกใช้ไฟฟ้าแต่ละขนาด ได้แก่
- มิเตอร์ขนาด 5(15) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 300 บาท หรือ บ้านพักขนาดเล็ก ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มาก
- มิเตอร์ขนาด 15(45) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 2,000 บาท ซึ่งเป็นขนาดมิเตอร์ที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ใช้
- มิเตอร์ขนาด 30(100) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 4,000 บาท สำหรับ บ้านพักขนาดใหญ่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
- มิเตอร์ขนาด 15(45) เฟส 3 เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 6,000 บาท เป็นขนาดที่ประชาชนไม่นิยมใช้
โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน เพื่อตรวจสอบสิทธิเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ผ่าน เว็บไซต์ของ กฟน. https://www.mea.or.th/refund/intro.html และ กฟภ. https://www.pea.co.th/ หรือแค่เพียงสแกนคิวอาร์โค้ดที่อยู่บนบิลชำระค่าไฟเดือนมีนาคม 63 เพื่อลงทะเบียนก็ได้เช่นกัน ซึ่งการคืนเงินจะได้รับผ่านบัญชีธนาคารของผู้ลงทะเบียน หรือรับคืนผ่านเคาท์เตอร์เซอร์วิส
และยังมีอีกมาตรการเกีี่ยวกับไฟฟ้าคือ มาตรการลดค่าไฟฟ้า 3% ระยะเวลา 3 เดือน (เม.ย.- มิ.ย. 63)

4 มาตรการคืนเงินประกันการใช้น้ำประปา ให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 แบบที่พักอาศัย ซึ่งมาตรการนี้จะคล้ายๆกับ มาตรการคืนเงินหลักประกันการใช้ไฟฟ้า ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่จะบรรเทาผลกระทบของประชาชน โดยมาตรการคืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 แบบที่พักอาศัย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป โดยเป็นไปตามระเบียบข้อกำหนดการขอรับเงินคืนที่การประปานครหลวง( กปน.) และ การประปาส่วนภูมิภาค(กปภ.) กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันและเวลาในการลงทะเบียน โดยผู้วางเงินประกันการใช้น้ำสามารถตรวจสอบสิทธิและดำเนินการขอรับเงินประกันคืนได้ ผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่น MWAonMobile ของกปน. หรือผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.mwa.co.th และ กปภ. www.pwa.co.th และช่องทาง LINE OA สามารถแอดเพิ่มเพื่อนโดยค้นหา @PWAThailand หรือผ่านแอปพลิเคชั่น PWA1662
การประปาฯ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนขอเงินประกันคืนได้ ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.นี้ และจะเริ่มจ่ายเงินประกันคืนตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคมเป็นต้นไป โดยผู้ที่ต้องการขอรับเงินประกันการใช้น้ำประปา จะต้องกรอกข้อมูลของผู้ใช้น้ำตามขั้นตอนให้ครบถ้วน จากนั้นรอ SMS ตอบกลับ แล้วรอรับเงินตามช่องทางที่กำหนดไว้ ทั้งการคืนเงินประกันผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) , บัญชีธนาคารและเคาน์เตอร์เซอร์วิส
อีกทั้งยังมี มาตรการลดค่าน้ำประปา 3% ให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภทเป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ใบแจ้งค่าน้ำประปาของเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563

5 มาตรการขยายระยะเวลาการชำระค่าน้ำประปาโดยไม่คิดดอกเบี้ย สำหรับ ผู้ใช้น้ำที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจโรงแรมและกิจการที่ให้เช่าพักอาศัย รวมถึงสามารถผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ใบแจ้งค่าน้ำประปาของเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2563 โดยสามารถติดต่อที่สำนักงานประปาสาขาในพื้นที่ใช้น้ำ

6 เลื่อนชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2562 โดยกรมสรรพากรได้ขยายเวลาชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภงด 90 และ ภงด 91) จากเดิมที่ขยายถึง 30 มิถุนายน 2563 เป็น 31 สิงหาคม 2563 ให้สิทธิ์หักภาษีลดหย่อนสุขภาพ ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จากเดิมจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อนำมารวมหัก ลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
มาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อ 

1 พักชำระเงินต้น ไม่เกิน 1-2 ปี , ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 10-20 ต่อปี , ลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชำระไม่เกิน 6 เดือน และ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ เช่น
ธนาคารออมสิน ออกมาตรการ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 3 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.-30 มิ.ย.63 ให้กับลูกค้าเงินกู้ทุกรายที่มีสถานะชำระปกติ จนถึงที่มีหนี้ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 สำหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเคหะ ที่มีเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 3 ล้านบาท และสินเชื่อ SMEs ที่มีเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 20 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ส่วนลูกหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ธนาคารออมสินช่วยลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำในปี 2563 ถึงปี 2564 จากเดิม 10% ของยอดเงินที่เรียกเก็บ เหลือ 5% ของยอดเงินที่เรียกเก็บ จากนั้นในปี 2565 ให้ชำระในอัตรา 8% ของยอดเงินที่เรียกเก็บ และปี 2566 อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำอยู่ที่ 10% ของยอดเงินที่เรียกเก็บ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์สินเชื่อบุคคล ของธนาคารออมสิน https://www.gsb.or.th/GSB_Loans.aspx
ธนาคาร ธอส. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.100% - 0.350% ต่อปี โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลดลง 0.100% ต่อปี จาก 6.375% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.275% ต่อปี , อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้เบิกเกินบัญชี (MOR) ลดลง 0.350% ต่อปี จาก 6.500% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.150% ต่อปี , ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) คงไว้ที่ 5.875 % ต่อปี กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
รวมทั้ง ได้ขยายเวลาชำระเงินกู้ ในงวดเดือนมีนาคม 2563 เพิ่มอีก 5 วัน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์สินเชื่อของธนาคาร ธอส. https://www.ghbank.co.th/product/loan

ธนาคาร ธ.ก.ส. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR จากเดิมที่ร้อยละ 6.750 ต่อปี ลดลงร้อยละ 0.125 เหลือร้อยละ 6.625 ต่อปี และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ให้สอดคล้องกับตลาดที่ ร้อยละ 0.05 - 0.35 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ ธ.ก.ส. https://www.baac.or.th/th/index.php?cover_page=1
ส่วนมาตรการสินเชื่อของธนาคารอื่นๆ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของธนาคาร ที่เป็นลูกค้าอยู่
สินเชื่อฉุกเฉิน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท แห่งละ 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
สินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม มีขึ้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจำ โดยมีหลักประกัน วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท
**หมายเหตุ : มาตรการต่างๆเป็นมาตรการและรายละเอียดในเบื้องต้น สามารถสอบถามรายละเอียดที่ธนาคารเจ้าของโครงการได้ทุกแห่ง

2 โรงรับจำนำปรับลดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำ ผ่อนผันหรือยืดระยะเวลาการชำระหนี้แก้ผู้จำนำ
สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับโรงรับจำนำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ สธค. คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี
มาตรการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 

- จัดหาหน้ากากผ้าให้ประชาชน 50 ล้านชิ้น
- เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จาก 15,000 บาท เป็นตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท
- ผู้ที่มีอาการป่วยด้วยโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลได้ทั้งรัฐและเอกชนฟรีทั้งหมด
มาตรการเยียวยากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 😷

- ค่าเสี่ยงภัยให้บุคลากรทางการแพทย์-สัตวแพทย์ผลัดละ 1,500 บาท/คน พยาบาลและอื่น ๆ ผลัดละ 1,000 บาท/คน
- ค่าตอบแทนภายนอกที่ไม่ใช่ข้าราชการหรือข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งของกระทรวงสาธารณสุข ในการประชุมครั้งละ 1,000 บาทต่อคน
- ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
มาตรการช่วยพนักงาน Work From Home 

โดย กสทช. จะแจกอินเตอร์เน็ต 10 กิกะไบต์ ต่อคนต่อเดือน 1 คนจะได้รับสิทธิ 1 เลขหมายต่อ 1 โอเปอเรเตอร์ เพื่อสนับสนุนให้คนทำงานที่บ้าน ตามมาตรการ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ " ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนและเปิดใช้งาน 10 เม.ย.นี้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...กสทช. แจกเน็ตมือถือฟรี 10 GB
โครงการ " เราไม่ทิ้งกัน " ช่วยคนไรบ้าน พร้อมอาหาร 3 มื้อฟรี! 

โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" บริการที่พักสะอาดอาหาร 3 มื้อ ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ขอเชิญชวนคนไร้บ้าน คนไร้ที่พึ่ง และคนตกงานในช่วงนี้สามารถไปพักที่บ้านพักของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ มีอาหารดูแลทุกวัน มีห้องพัก ห้องอาบน้ำให้อยู่อย่างสบาย เพื่อจะได้ปลอดภัยจากโรคระบาด โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามารถติดต่อได้ที่ โทร.สายด่วน 1300 ทั้งกทม. และ ต่างจังหวัด
โดยทั้งหมดนี้ คือมาตรการเยียวยา จากผลกระทบการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ที่ตกงาน และ ขาดรายได้ และหากเพื่อนๆสนใจเข้าร่วมโครงการไหน สามารถเข้าไปลงทะเบียนกันได้เลยครับ