ทำไมธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากัน แต่เงินงวดจึงต่างกัน ?
มีผู้ซื้อบ้านจำนวนมาก ที่เมื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่างๆแล้ว
พบว่า บางแห่งกำหนดอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากันแต่เหตุไฉนเงินงวดรายเดือนจึงแตกต่างกันข้อเท็จจริงคือว่า การกู้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ
ผู้กู้จะเสียเงินงวดน้อยลงแต่ก็จะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาการชำระเงินงวดขึ้นได้ในภายหลัง กรณีที่อัตราดอกเบี้ยต่อมาได้ปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้เงินงวดต่อเดือนที่ผู้กู้ ผ่อนชำระกับธนาคารไม่พอชำระดอกเบี้ยที่ เกิดขึ้น ทำให้ธนาคารต้องคิดเงินงวดที่สูงขึ้น และแจ้งให้ลูกค้ามาชำระเงินงวดมากกว่าที่เคยชำระเดิมซึ่งบางครั้งหาก อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมากจะทำให้ผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินงวดที่เพิ่มขึ้นได้ และเกิดอาการที่เรียกว่า "ความตกใจใน เงินงวดที่เพิ่มขึ้น" (Payment Shock) ก่อปัญหาทั้งแก่ผู้กู้และสถาบันการเงินที่ต้องมีหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้นตามมาดังนั้นหาก ผู้กู้กู้เงินแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำจึงต้องระวังในกรณีนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วย ลูกค้าและป้องกันปัญหาข้างต้น แม้ว่าธนาคารต่างๆ จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามประกาศจริง แต่มีบางธนาคารใช้วิธีการคำนวณเงินงวดเพื่อการชำระหนี้รายเดือน (Monthly Repayment) โดยคิดเพิ่มจากอัตราดอกเบี้ยจริงบวกด้วย 1-3% ดังนั้น จึงทำให้เงินงวดที่ผ่อนชำระของแต่ละธนาคารอาจแตกต่างกันได้ ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยตามประกาศเท่ากัน
สำหรับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ใช้วิธีการคำนวณเงินงวดเพื่อการชำระหนี้รายเดือน กรณีเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยคิดเพิ่มจาก อัตราดอกเบี้ยจริงบวกด้วย 1% การคิดเงินงวดเพิ่มดังกล่าวไม่เป็นผลเสีย แก่ผู้กู้แต่ประการใด ตรงกันข้ามกลับจะเป็น ประโยชน์ด้วยซ้ำ เพราะหากอัตราดอกเบี้ย เพิ่มในภายหลังไม่ถึงกับทำให้เงินงวดเดิมไม่พอตัดดอกเบี้ยธนาคารจะได้ไม่ต้อง แจ้งลูกค้าให้มาชำระเงินงวดเพิ่ม ซึ่งจะก่อปัญหาการค้างชำระหนี้ตามมาได้ง่าย แต่หากอัตราดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นในภายหลัง หรือกลับลดลง เงินงวดที่ลูกค้าจ่ายเกินไว้ก็จะไปตัดเงินต้นมากขึ้น และจะส่งผลให้หนี้เงินกู้หมดเร็วขึ้นกว่าที่ระบุในสัญญากู้ เช่น กู้นาน 20 ปี อาจเหลือ 18-19 ปี เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์