" การยื่นขอสินเชื่อแต่ละแบบนั้น ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะทราบได้อย่างไรว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอกู้และมีความสามารถผ่อนชำระตามที่ตกลงไว้ได้ เครดิตบูโรจึงเข้ามามีบทบาทในการประเมินผลของสถาบันการเงินและธนาคารเพื่อจำกัดความเสี่ยงหรือความเสียหายต่อสถาบันการเงินและธนาคาร บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักคำว่าแบล็คลิสต์ และ เครดิตบูโร ในแบบเข้าใจง่ายและมีประโยชน์ต่อตัวคุณมากที่สุด "
เครดิตบูโรคืออะไร?
เครดิตบูโร คือรายงานข้อมูลเครดิตของเรา เช่นการผ่อนชำระที่อยู่อาศัย รถยนต์ หรือ บัตรเครดิต หากเราสมัครสินเชื่อใดๆ จะต้องเซ็นรับรองทุกครั้งในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตัวเอง เพื่อให้สถาบันการเงินหรือธนาคารตรวจสอบได้ว่า เรามีความสามารถเพียงพอในการกู้และผ่อนชำระ เมื่อมีการผ่อนชำระ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล ว่ามีการผ่อนชำระอย่างไร มีการค้างชำระแค่ไหน ผ่านบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
นั้นก็คือ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ มีหน้าที่จัดเก็บรายงานข้อมูลของบุคคลและนิติบุคคล ฐานข้อมูลเครดิตนั้นจะทำให้สถาบันและธนาคารต่างๆ สามารถประเมินความเสี่ยงในการอนุมัติสินเชื่อหรือวงเงินเครดิตแก่บุคคลนั้นได้ เพื่อป้องกันความเสียหายจากการผิดนัดชำระหนี้หรือหนี้สูญ
แผนที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
ตรวจเครดิตบูโรเองได้หรือไม่?
ทำได้แน่นอน ผ่านทางบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติโดยตรงหรือผ่านธนาคารต่างๆ อาทิ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารธนชาต และอีกหลายช่องทางที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้เตรียมไว้เพื่อความสะดวกแก่ผู้ขอข้อมูล เมื่อมีการปฏิเสธวงเงินสินเชื่อไม่ว่าเหตุใดก็ตาม เราสามารถตรวจสอบข้อมูลเครดิตของเราได้ว่าอยู่สถานะใด รวมถึงความถูกต้องในรายงานผ่านบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
แบล็คลิสต์ คืออะไร?
บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติไม่ได้ขึ้นทะเบียนบุคคลหรือนิติบุคคลต้องห้ามในการขอสินเชื่อ แต่บริษัทมีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของข้อมูลเครดิตแต่ละคนหรือแต่ละบริษัทว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร จากจำนวนยอดขอสินเชื่อและวงเงินค้างจ่าย ที่เรียกว่าสรุปข้อมูลสินเชื่อ อันเป็นรายงานข้อมูลที่มีรายละเอียดการขอสินเชื่อและการผ่อนชำระ การปิดยอดชำระ รวมทั้งการบอกสถานะต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และสรุปออกมาเป็นสถานะบัญชี ที่บอกว่าเราอยู่สถานะใด
รายงานสถานะสินเชื่อ จะแบ่งออกเป็นระยะเวลาเวลาตั้งแต่ 30-60-90-120 วัน หรือ ตามระยะเวลาที่ชำระหนี้หรือคงค้าง ถ้ามีการพักชำระหนี้โดยนโยบายของรัฐหรือธนาคาร รายงานก็จะถูกระบุไว้ด้วยเช่นกัน หากเราไม่สามารถชำระหนี้ได้ รายงานข้อมูลเครดิตก็จะมีความผิดปกติ เมื่อใดที่เราขอกู้สินเชื่อหรือบัตรเครดิต ธนาคารหรือสถาบันการเงินก็จะดูจากรายงานความผิดปกตินั้นจึงทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อ และไม่ว่าจะยื่นขอที่ใดก็ตาม ข้อมูลรายงานนี้ก็ยังคงแสดงอยู่ ทำให้ไม่สามารถยื่นขอที่ใดๆ ได้อีก หากไม่ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นเสียก่อน นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า แบล็คลิสต์
ถ้าติดแบล็คลิสต์จะทำอย่างไร และผ่อนชำระค้างเท่าใดถึงจะมีผล?
การผิดนัดชำระหรือค้างชำระ จะมีการบันทึกรายงานในข้อมูลเครดิต ระบบจะทำการสรุปรายงานทุกๆ เดือน การผิดนัดชำระและไม่ชำระหนี้หรือชำระล่าช้ามากเกินไป จะมีการบันทึกในช่วง 60 วัน เป็นต้นไป ถ้าคุณไม่สามารถผ่อนจ่ายชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้จะให้โอกาสคุณในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการให้ระยะเวลาเพิ่มหรือลดเงินต้นลง รวมถึงจัดระเบียบการผ่อนชำระใหม่ (ขั้นอยู่กับการชำระ จำนวนเงินต้น และกฎของแต่ละสถาบันการเงิน)
" ถ้าคุณไม่มีความสามารถใดๆ เลย ที่จะชำระหนี้ ทางเจ้าหนี้จะออกเอกสารทวงถามและเข้าสู่การฟ้องร้องในศาล และจะถูกรายงานในข้อมูลเครดิตว่ามีความผิดปกติอย่างมาก ทำให้ในอนาคตคุณไม่สามารถขอสินเชื่อใดๆ ได้อีก บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะเก็บข้อมูลในระบบไว้ 3 ปี หลังจากนั้นคุณสามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธนาคารหรือสถาบันการเงิน คำตอบสุดท้ายของปัญหาก็คือ เมื่อคุณใช้หนี้หมดและสร้างความมั่นคงการเงินใหม่ คุณก็จะมีรายงานข้อมูลเครดิตที่ดี และสามารถทำธุรกรรมต่อได้อย่างปกติเฉกเช่นคนทั่วไป "