“อารียา พรอพเพอร์ตี้” ปิดยอดขายปีที่แล้วโต 39% ปีนี้ตั้งเป้าโต 30% วางแผนเปิด 11โครงการใหม่ ทั้งแนวราบและแนวสูง เสริมจุดแข็งด้วย 4 กลยุทธ์ เชื่อตลาดอสังหามีเทศทางเติบโต หลังสภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มเป็นบวก
วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่แล้วถือเป็นปีที่อารียาฯ มีการปรับตัวในหลาย ๆ ด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในเชิงธุรกิจ ก่อนการเดินหน้าพัฒนาให้ได้สินค้าและบริการที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล, ยกระดับระบบการให้บริการหลังการขาย, พัฒนาระบบการก่อสร้างและงานออกแบบLandscape, ปรับการสื่อสารการตลาดตามวิถีของผู้บริโภครวม ถึงการลงทุนด้าน Digital Technology, Data Analysis และระบบCRM
ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาปิดยอดขายอยู่ที่ 11,125 ล้านบาท โตขึ้น 39% โดยมียอดยกเลิกเทียบยอดขาย 29% ยอดโอนปิดที่4,958 ล้านบาท และยอดขายคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการโอนได้ที่ 3,096 ล้านบาท โดยมีโครงการสร้างใหม่รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80-90% จะอยู่ในระดับกลาง – ล่าง หรือราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท
ส่วนในปีนี้ได้วางเป้าหมายเชิงตัวเลขการเติบโตอยู่ที่ 30% มูลค่ายอดขายรวม 14,370 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8,366 ล้านบาท และแนวสูง 6,004 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 11 โครงการ แนวราบ 10 โครงการและแนวสูง 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,920 ล้านบาท รวมกับโครงการที่ยังเปิดขายอีกกว่า 20 โครงการ โดยได้เตรียมงบซื้อที่ดินใหม่อีก1,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนที่จะนำที่ดินเดิมอีกราว 60-70 ไร่ แถบเกษตร–นวมินทร์ มาพัฒนาโครงการใหม่
โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอารียาจะเน้นเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากว่าตลาดนี้ค่อนข้างนิ่ง และมีดีมานด์มาตลอด ในขณะที่โครงการแนวสูงมีผู้เล่นมากขึ้น และเริ่มอิ่มตัวแล้วทั้งในโครงการระดับแมส หรือแม้กระทั่งพรีเมี่ยมที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่ ไม่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อก็ตาม
“สำหรับโครงการใหม่แนวราบจะมีทุกระดับราคาตั้งแต่ 2-50 ล้านบาท โดยระดับแมสจะมีราคา 2-5 ล้านบาท, ทาวน์เฮ้าส์ 8-10 ล้าน และบ้านเดี่ยว 10-20 ล้านบาท กระจายไปทั่วกรุงเทพ โดยมีที่ดินเตรียมไว้หมดแล้ว”
“ส่วนโครงการแนวสูงจะอยู่ในแบรนด์เอ สเปซ ราคา 2-4 ล้านบาท กำลังอยู่ในระหว่างเจรจาซื้อที่คิด คาดจะรู้ผลภายใน 2 เดือนนี้ โดยเป็นทำเลรอบนอกของ CBD แต่อยู่ในทำเลของรถไฟฟ้า”
นอกจากโครงการใหม่แล้วยังได้มีการวางกลยุทธ์ 4 ข้อได้แก่ 1 .งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ(Aesthetic Design & Premium Quality), 2.ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness), 3.นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) และ 4. การให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่มและหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best in class after sales service)
ทั้งนี้ได้มองภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ว่าภาพรวมยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีแนวโน้มขยับขึ้น 10% ด้วยปัจจัยด้านการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ (EEC) ที่ยังเป็นกระแสความนิยมของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่น่าจับตามองและด้านเทรนด์ที่อยู่อาศัยโดยน่าจะเห็นได้ชัดเจนจากคอนโดฯที่มีขนาดห้องเล็กลงซึ่งเกิดจากปัจจัยราคาที่ดินแพงขึ้น