อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสถาณการณ์บ้านเมืองของเราในปัจจุบันเป็นอย่างไร ถึงขนาดที่สามารถใช้คำว่า เศรษฐกิจในยุคไทยแลนด์4.0 ไร้สัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน ข้าวของเริ่มแพง การใช้ชีวิตของคนไทยในปัจจุบันเริ่มขาดความสมดุลทางการเงิน บางรายหนักสุดคือมีรายจ่ายมากกว่ารายรับซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าสังคมกำลังไปในทิศทางใด ทั้งนี้สถาณการณ์ดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกด้วย
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรารอดจากสถานการณ์ปัจจุบันก็คือการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่อยู่ต่างจังหวัดก็สามารถปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในสภาพสังคมในปัจจุบันได้เช่นกัน ทั้งนี้แนวคิดเรื่องการปรับตัวในวันนี้ผมก็ได้ศึกษามาจากแนวคิด "เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงรัชกาลที่9 ของเรานั่นเอง
เศรษกิจพอเพียงคืออะไร
หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเศรษกิจพอเพียงคืออะไรและมีที่มาอย่างไร โดยจริงๆแล้วเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 นั่นก็เพราะว่าแนวคิดดังกล่าวสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ให้ประเทศไทยสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
สำหรับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นอันพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด
สำหรับการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงมาให้คนทั้งประเทศได้ใช้ไปพร้อมๆ กัน ช่วยกันขับเคลื่อนคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นผมมองว่าเราน่าจะเริ่มที่ตัวเราเองก่อน สิ่งหนึ่งที่เป็นใจความสำคัญเลยก็คือ การไม่ทำอะไรที่เกินตัว เพียงเท่านี้ก็เพียงพแล้ว เพราะถ้าหากเราไม่ทำอะไรที่เกินตัว เราไม่มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เพียงเท่านี้เราก็จะไม่จนอย่างแน่นอน
การปรับรูปแบบการใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
รู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่าย มันอาจจะเป็นวิธีที่ดูโบราณไปนิดนึงนะครับ แต่ขอรับรองว่าสามารถใช้ได้จริงและเ็นผลอย่างชัดเจน สำหรับคนเมืองอย่างเรานั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะทำบัญชีรายรับรายจ่าย โดยเฉพาะคนที่อยากเก็บเงิน เพราะจะทำให้เราบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำบัญชีจะทำให้เรารู้รอยรั่วของเรามาจาจากส่วนไหน ดังนั้นมันคงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผมเข้าใจว่าทุกคนน่าจะใช้สมาร์ทโฟนกันนะครับ ถ้าไม่อยากจดบัญชีก็สามารถใช้ แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนของคุณในการบันทึกรายรับรายจ่ายก็ได้หนิครับ เนี่ยแหละครับถึงจะเรียกว่าไทยแลนด์4.0 อย่างแท้จริง ข้อนี้สามารถทำและนำไปปรับใช้ได้กับคนทุกกลุ่มนะครับ
พยายามอย่าใช้จ่ายเกินตัว สิ่งที่ทำให้เรารู้ได้ว่าเราใช้จ่ายเกินตัวหรือไม่ก็มาจากการรู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่ายของเรานั่นเอง ผลพวกจากการทำบัญชีจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นมีส่วนใดบ้าง อาจจะเป็นค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายพวกนี้แล้ว เราจะทราบเงินที่เราสามารถใช้ได้ต่อเดือนนะครับ ข้อดีคือมันจะทำให้เราไม่เป็นหนี้
เข้าใจว่าคนเมืองบางครั้งเราเป็นคนเมืองมันต้องมีการเข้าสังคมกันบ้าง แต่คุณก็ควรตั้งเป้าหมายว่า เดือนนี้จะไปเที่ยวกี่ครั้ง เพื่อให้สามารถคุมงบประมาณอยู่ หรืออีกหนึ่งเทคนิคที่จะทำให้เราคุมรายจ่ายได้ก็คือการเลือกที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่แพง แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เดินเฉพาะเรื่องของระบบขนส่งมวลชนซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถหาที่อยู่อาศัยที่อยู่ในทำเลที่คุณต้องการพร้อมกับราคาที่คุณรับได้จากเว็บไซต์ Thaihometown คลิกที่นี่
ถ้าเป็นไปได้ก็ควรประหยัด จริงๆ แล้วการประหยัดกับการยับยั้งชั่งใจไม่ให้จ่ายเกินตัวนั้นคือคนละส่วนกัน เพราะการใช้จ่ายเกินตัวนั่นคือการใช้จ่ายมากกว่ารายรับของตัวเอง ส่วนการประหยัดนั้นหมายถึงว่าการใช้จ่ายอยู่ภายในงบประมาณรายรับของเราและประหยัดเงินในส่วนนี้ เพื่อให้ได้มาเพื่อเงินเก็บ เช่นเคยดูหนังอาทิตย์ละ 2 เรื่อง ก็ลดลงเหลือ 1 เรื่องต่ออาทิตย์ เคยกินกาแฟวันละ 2 แก้ว ก็ปรับเหลือ 1 แก้ว ที่สำคัญตัวเองต้องไม่เดือดร้อนนะครับ
รู้จักวางแผนและเคารพตัวเอง สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการรู้จักวางแผน เช่นการวางแผนการเก็บเงินสร้างอนาคต เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนก็จะทำให้เราเป็นคนประหยัดไปโดยปริยายแต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะเคารพตัวเองด้วยนะครับ เมื่อวางแผนแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
การปรับภูมิทัศน์ของที่อยู่อาศัยตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
สร้างพื้นที่สำหรับการปลูกผักสวนครัว ฟังดูเหมือนจะใช้ได้กับบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดนะครับสำหรับการสร้างพื้นที่สำหรับการปลูกผักสวนครัว เช่นการแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรออกเป็นส่วนๆ แต่จริงๆ แล้วสามารถปรับเข้ากับพื้นที่อยู่อาศัยได้ทุกสถานการณ์ครับ เช่นถ้ามีคุณก็สามารถเลือกที่จะปลูกผักสวนครัวไว้ที่บริเวณบ้านได้ มีหลายโครงการที่เราไปทำรีวิวแล้วมีพื้นที่สำหรับสวนข้างบ้าน คลิกดูรีวิวโครงการ คุณสามารถใช้ประโยชนืจากพื้นที่ในส่วนนั้นได้ครับ
ส่วนใครที่อยู่คอนโดใจกลางเมืองก็ไม่ต้องน้อยหน้าไปเพราะเราสามารถใช้พื้นที่ระเบียงหลังห้องในการปลูกผักสวนครัวได้เช่นกัน คลิกดูวิธีปลูกผักสวนครัวในคอนโด ทีนี้ก็อย่าลืมนำผักที่ได้ไปใช้รับประทานกันจริงๆ ในชีวิตประจำวันด้วยนะครับ จะได้ประหยัดกันแบบจริงๆ
พื้นที่เลี้ยงสัตว์ หากพูดถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์คงต้องมองไปถึงบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดหรือชานเมืองนะครับ สำหรับคนที่อยู่คอนโดคงทำได้ยาก หากจะเลี้ยงไก่ในห้อง เสียงกุ๊กๆๆๆ ขันตั้งแต่ตี 5 เพื่อนบ้านได้ด่าหัวกันพอดี ดังนั้นบ้านในโซนต่างจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่ากรุงเทพมหานครอยู่แล้วดังนั้นการเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารจึงตอบโจทย์มากกว่า
พื้นที่อยู่อาศัยต้องมีขนาดพอเหมาะ สำหรับข้อนี้จะออกแนวสุภาษิตนกน้อยทำรังแต่พอตัว เข้าทางเศรษฐกิจการแบ่งสัดส่วนของพพ้นที่อยู่อาศัยตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับคนที่อยู่คอนโดก็สามารถปรับใช้ได้ง่ายๆ นั่นคือการเลือกที่อยู่ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ยิ่งถ้าอยู่คนเดียวก็เลือกแค่ 1 ห้องนอนก็พอ เพราะราคานั้นต่างกันเยอะพอสมควรเหมือนกัน ส่วนคนที่จะซื้อบ้านก็ให้มองฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กับตัวเองมากที่สุด เช่น เลือกบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอนสำหรับครอบครัวใหญ่ หรือเลือกทาวน์โฮม 2 ชั้นสำหรับครอบครัวช่วงเริ่มต้นนั่นเอง ซึ่งเว็บไซต์ของเรามีการทำรีวิวให้ดูอย่างต่อเนื่อง สามารถไปรับชมกันได้โดย คลิกที่นี่
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากได้อ่านบทความเรื่องนี้กันแล้ว ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากบทความของผมไม่มากก็น้อยนะครับ และที่สำคัญก็อย่าลืมนำเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตของตัวเองนะครับ อยากที่บอก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเมืองในกรุงเทพมหานคร หรืออยู่ต่างจังหวัด ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้นะครับ