ในการต่อเติมบ้านนั้น คนส่วนมากมักคิดว่าการต่อเติมโครงสร้างใหม่โดยฝากติดกับตัวบ้านเดิมเพียงเล็กน้อย ไม่น่าจะมีปัญหา อะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว การออกแบบโครงสร้างของบ้านนั้น หากผู้ออกแบบไม่ได้เผื่อน้ำหนักและโครงสร้างสำหรับการต่อเติมไว้ เมื่อต่อเติมไปแล้วอาจพบปัญหาการแตกร้าว รั่วซึม หรือบางครั้งก็ทรุดตัวไปมากจนต้องทุบทิ้ง อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงเรื่องข้อกฏหมายในการต่อเติมอีกด้วย
การออกแบบโครงสร้างในส่วนต่อเติมที่ถูกต้องนั้นควรพิจารณาเรื่อง ดังต่อไปนี้
ตรวจสอบตัวอาคารบ้านเดิม พื้นที่โดยรอบก่อนการต่อเติม
ก่อนการดำเนินการใดๆ ในการต่อเติมต้องมีการตรวจเช็คโครงสร้างเดิมก่อน โครงการบางที่อาจมีการก่อสร้างตัวบ้านบนที่ดินที่เคยเป็นแหล่งน้ำมาก่อน ทำให้มีการทรุดตัวของพื้นดินบริเวณนั้น หรือกรณีที่ไม่มีการทรุดตัวก่อนการต่อเติม แต่ภายหลังการต่อเติมอาจจะมีเกิดการทรุดตัวเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งนั้นหมายถึงต้องมีการเตรียมตัวไว้ให้พร้อม จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเช็คโครงสร้างตัวบ้าน และพื้นที่โดยรอบตัวบ้านไว้ล่วงหน้านั้นเอง
การแยกโครงสร้างใหม่ออกจากโครงสร้างเดิม
ในการต่อเติมโครงสร้างใหม่นั้นส่วนมากมักใช้เสาเข็มที่มีขนาดเล็กหรือสั้นกว่าตัวบ้านเดิม เนื่องจากไม่สามารถนำปั่นจั่นเข้าไปตอกเข็มขนาดใหญ่ได้ จึงทำให้เกิดการทรุดตัวที่แตกต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือรอยต่อระหว่างสองอาคารแยกเริ่มร้าวและแยกออกจากกัน ทำให้เกิดปัญหา เรื่องน้ำฝนรั่ว ผนังร้าวต่างๆตามมา ดังนั้นเมื่อมีการต่อเติมควรแยกโครงสร้างใหม่ออกจากโครงสร้างเก่าอย่างเด็ดขาด แม้ว่าภายนอกจะดูแนบสนิทก็ตาม
โครงสรางเชื่อต่อกัน ตัวอาคารบ้านเดิม และส่วนต่อเติม
การที่ต้องการขยายห้องให้กว้างขึ้นมีเรื่องที่ไม่ควรทำคือการเชื่อมคานยื่นออกไปจากคานเดิม แต่ควรทำคานขึ้นมาใหม่สำหรับการรับพื้น หลายท่านอาจจะสงสัยว่าถ้าได้ทำอย่างดี มีความมั่นคงแข็งแรงแล้วทำไมถึงทำไม่ได้ เหตุผลคือการถ่ายน้ำหนักของโครงสร้างที่ทำขึ้นมาใหม่ เมื่อถ่ายน้ำหนักลงเสาเข็ม เสาเข็มก็จะทรุดตัว โดยอาคารเดิมที่สร้างมาก่อนการทรุดตัวของเสาเข็มอาจจะคงที่ ไม่ทรุดลงอีกแล้วหรือทรุดตัวน้อยมาก ดังนั้นการทรุดตัวของโครงสร้างใหม่ที่ไม่เท่ากับโครงสร้างเดิมก็จะทำให้เกิดการแตกร้าวแยกจากกันได้
แยกตัวโครงสร้างฐานราก อาคารบ้านเดิม และส่วนต่อเติม
เหตุผลหลักของการทรุดตัวของเสาเข็มไม่เท่ากันคือความยาวของเสาเข็มครับ เพราะการต่อเติมบ้านอาจจะไม่สามารถใช้เสาเข็มความยาวเท่ากับโครงสร้างเดิมได้ เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปตอกเสาเข็มได้ (ถึงแม้จะใช้วิธีทำเข็มเจาะได้ แต่เนื่องจากทำทีหลัง การทรุดตัวก็ไม่เท่ากันดังกล่าวแล้ว)
ตัวอาคารที่ต่อเติมเมื่อมีการทรุดตัว ตัวอาคารบ้านเดิมจะไม่เสียหาย
ความไม่รู้เรื่องโครงสร้างทำให้เจ้าของบ้านอาจเชื่อผู้รับเหมาทั่วไปที่อาจไม่เข้าใจถึงเรื่องน้ำหนัก และการรับน้ำหนักของโครงสร้างต่างๆ ของอาคาร ตัวอย่างง่ายๆ คืออยากต่อเติมกั้นห้องเพิ่มโดยการก่ออิฐมอญ และฉาบปูน แต่ไม่ทราบว่าคานที่มีอยู่เดิมนั้นไม่ได้ออกแบบมาสำหรับรับกำแพงก่ออิฐ เช่น คานรับพื้นดาดฟ้าของตึกแถว เป็นต้น
คำนวณน้ำหนักของการก่อนกำแพงทั้งแบบอิฐมอญ และการฉาบเรียบ
น้ำหนักของกำแพงอิฐมอญที่ก่ออิฐและฉาบปูน ที่เรียกว่าก่ออิฐครึ่งก้อน (ก่ออิฐชั้นเดียว) มีน้ำหนักตารางเมตรละ 180 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าก่ออิฐกั้นห้องสูง 2.50 เมตรก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นที่คาน 450 กิโลกรัมต่อความยาว 1 เมตร ซึ่งเท่ากับข้าวสาร 4 กระสอบครึ่ง เป็นตัวเลขของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการต่อเติมเพิ่มกำแพงห้องครับ
คานเหล็ก H Beam ที่มีขนาดให้รับน้ำหนักได้
กรณีที่เคยมีผู้ปรึกษาผมถึงเรื่องความต้องการทำห้องน้ำเพิ่มที่ชั้นบนของตัวบ้าน แต่เนื่องจากโครงสร้างของพื้นเป็นระบบแผ่นพื้นสำเร็จ ซึ่งไม่ควรที่จะเจาะรูเพื่อวางท่อส้วม ในกรณีดังกล่าวเนื่องจากความจำเป็นผมจึงให้เพิ่มคานที่จะเป็นตัวรับกำแพงห้องน้ำใหม่ ด้วยการเสริมคานเหล็ก H Beam ที่มีขนาดให้รับน้ำหนักได้ และเทคอนกรีตผสมน้ำยากันซึมปรับพื้นห้องน้ำใหม่ ซึ่งทำให้พื้นห้องน้ำใหม่มีระดับสูงกว่าพื้นห้อง และต้องปรับแก้ด้วยการทำขอบประตูที่หน้าห้องน้ำ ถึงแม้ว่าการเสริมคานเหล็กเข้ากับคานเดิมเพื่อรับแนวกำแพงห้องน้ำจะไปเพิ่มแรงกดให้กับคานเดิม แต่น้ำหนักที่เพิ่มก็ยังอาจพอรับได้ ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาวิศวกรให้ตรวจสอบดูว่าทำได้หรือไม่