
อยู่ในบ้านที่มีการตกแต่งแบบเดิมๆ มานาน หลายคนอาจจะเริ่มเบื่อกับความจำเจ และรู้สึกอยากจะตกแต่งห้องนั่งเล่นใหม่ดูบ้าง จะได้เพิ่มสีสันให้ห้องนั่งเล่นและบ้านดูมีชีวิตชีวาน่าอยู่ขึ้น แต่ถ้ายังคิดไม่ตกว่าควรจะตกแต่งห้องนั่งเล่นยังไงให้สวยโดนใจ
ถ้าอย่างนั้นก่อนจะตัดสินใจลงมือปรับโฉมห้องนั่งเล่น มาลองดูสไตล์การตกแต่งห้องนั่งเล่นที่ควรเลี่ยงกันก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าสไตล์การตกแต่งแบบไหน ที่แต่งออกมาแล้วอาจพลาดจนห้องนั่งเล่นไม่สวยเป๊ะอย่างใจต้องการ

1. ติดม่านยาวลากพื้น
จุดประสงค์ของการติดผ้าม่านให้หน้าต่างก็คือ เพื่อให้ช่วยกันแสงแดดส่องเข้ามาในบ้านมากเกินไป และเพื่อพรางสายตาจากคนภายนอกไปด้วยในตัว นอกจากนี้ยังนิยมติดม่านเพื่อเพิ่มความสวยงามให้บ้านอีกด้วย ซึ่งการติดม่านเพื่อความสวยงามนั้นต้องเป็นการติดม่านในระดับที่ไม่สูงจนใกล้เพดานมากเกินไป และความยาวของผ้าม่านก็ไม่ควรยาวถึงพื้นด้วย แต่ควรจะมีความยาวแค่เลยขอบหน้าต่างด้านล่างมาเล็กน้อย เพราะถ้าหากม่านมีความยาวมากเกินไปจนเกือนจะคลุมเพดานส่วนนั้นไว้ทั้งหมด จะทำให้บ้านดูมืดทึบ ไม่โปร่งสบาย

2. เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเดียวกันทั้งห้อง
เฟอร์นิเจอร์ไม้และพื้นไม้ ให้ลุคสุดคลาสสิกกับบ้านก็จริง แต่ถ้าคุณเลือกปูพื้นห้องด้วยไม้สีเข้ม อีกทั้งยังตกแต่งห้องด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และโซฟาสีที่ใกล้เคียงกับพื้นไม้อีก ก็จะทำให้ห้องดูมืดทึบ ไม่โปร่งสบาย แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่ในป่ามาไปอีกด้วยล่ะ ดังนั้นถ้าหากเลือกปูพื้นห้องด้วยวัสดุที่เป็นไม้ ก็ควรจะเลือกเฟอร์นิเจอร์สีอ่อน หรือเลือกตกแต่งห้องด้วยสีอื่นที่ตัดกันอย่างลงตัวแทนนะคะ

3. ปูพรมทั้งห้อง
การปูพื้นด้วยพรมผืนสวยก็ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะพื้นพรมให้สัมผัสที่นุ่มเท้า และเป็นการตกแต่งที่ช่วยเสริมให้ห้องดูดียิ่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่ที่มักจะพลาดกันก็คือ ตัดสินใจปูพรมเต็มพื้นที่ทั้งห้อง ซึ่งถือเป็นการตกแต่งที่ไม่ค่อยจะสวยงามสักเท่าไร เนื่องจากการปูพรมทั่วทั้งบริเวณ จะให้ความรู้สึกขัดตา เหมือนการสวมถุงเท้าแล้วใส่รองเท้าแตะ ดังนั้นถ้าอยากปูพรมในห้องนั่งเล่น ก็ควรปูพรมที่ใต้โต๊ะรับแขก โดยให้พรมมีพื้นที่เหลือออกมาด้านข้างอย่างน้อย 18 นิ้วจากตัวโต๊ะรับแขกเท่านั้นก็พอค่ะ

4. ติดกรอบรูปชิดกันเป็นแผง
โดยปกติแล้วในห้องรับแขกของทุกบ้านจะมีกรอบรูปตั้งโชว์ หรือแขวนโชว์บนผนังอยู่ ซึ่งก็เป็นการตกแต่งที่ช่วยให้ห้องรับแขกดูอบอุ่นเป็นกันเองมากขึ้น แต่ข้อผิดพลาดที่มักจะพบเจอกันเป็นประจำก็คือ การเลือกรูปถ่ายขนาดเล็กมาใส่ในกรอบที่ใหญ่เกินไป แถมยังวางหรือแขวนบนผนังเรียงติดกันเป็นพรืดจนดูแล้วรกตาเป็นที่สุด ดังนั้นหากคิดจะแขวนรูปถ่ายโชว์ ควรเลือกรูปและกรอบขนาดพอดีกันและแขวนตามจุดต่างๆ บนผนัง หรือถ้าจะเลือกแขวนที่มุมใดมุมหนึ่ง ควรเว้นระยะห่างระหว่างกรอบรูปประมาณ 4 นิ้วเป็นอย่างต่ำ

5. ทาสีผนังทั้งหมดด้วยสีอ่อน
สีทาบ้านเฉดอ่อนๆ อาจจะทำให้บ้านดูสกปรกได้ง่าย อีกทั้งหากไม่เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันสดใสตัดกัน ก็จะยิ่งทำให้ห้องดูจืดชืดไปได้ ทางที่ดีลองเลือกใช้สีเข้มทาผนังห้องบ้างดีกว่า คุณอาจจะลองเลือกสีเฉดเข้มสักหน่อยมาวางเทียบบนกระดาษขาวเปล่าๆ ดูก่อนก็ได้ หากเห็นว่ามันเข้ากันดี ก็ค่อยตัดสินใจเลือกสีนั้นทาผนังห้องรับแขกต่อไป

6. วางเก้าอี้หรือโซฟาติดผนังห้อง
การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขกก็สำคัญ ควรจะจัดวางอย่างสมดุลกันทั้งห้อง ไม่ควรวางเฟอร์นิเจอร์ไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องเพียงฝั่งเดียว และไม่ควรวางโซฟาหรือเก้าอี้ติดผนังห้องด้วย แต่ควรจะเว้นระยะห่างระหว่างเฟอร์นิเจอร์กับผนังห้องอย่างน้อย 2 ฟุตครึ่ง เพื่อให้สามารถเดินผ่านได้ แต่สำหรับห้องที่มีขนาดไม่กว้างมากนัก และจำเป็นต้องวางเฟอร์นิเจอร์ไว้แค่ฝั่งเดียวของห้อง แนะนำให้ติดกระจกไว้ที่ฝั่งตรงข้าม หรือไม่ก็ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยต้นไม้ เพื่อให้ห้องดูโปร่งสบายตามากขึ้นนั่นเอง

7. กองหนังสือบนโต๊ะ
หากคุณเป็นคนรักการอ่าน และมีหนังสือหรือนิตยสารในห้องรับแขกอยู่พอสมควร ก็ควรจะจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อาจจะจัดเรียงในชั้นหนังสือ หรือเรียงใส่ตะกร้าใบสวยวางไว้ข้างๆ โซฟา หรือโต๊ะรับแขกก็ได้ ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้บนโต๊ะจนกองเท่าภูเขา จะได้ไม่เกะกะขวางหูขวางตาให้ห้องรับแขกดูรกนะคะ

8. วางหมอนอิงบนโซฟาเยอะเกินไป
การตกแต่งที่สวยงามต้องมีความพอดี ไม่มากไม่น้อยไป โดยเฉพาะกับโซฟาหรือเก้าอี้รับแขก ที่ไม่ควรรกไปด้วยหมอนอิงหลายใบ จนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้นั่ง ดังนั้นหากคุณอยากจะวางหมอนอิงตกแต่งโซฟา ก็ครเลือกหมอนอิงที่มีขนาดไม่เกิน 18 นิ้ว และควรเลือกลวดลายที่เข้ากันได้ดีกับโซฟาด้วย ที่สำคัญวางหมอนอิงแค่ 2-3 ใบก็พอค่ะ เยอะไปก็เกะกะเปล่าๆ

9. ซื้อเฟอร์นิเจอร์จากร้านเดียวทั้งหมด
โดยส่วนมากแล้วเราจะชอบซื้อของจากร้านที่มีบริการครบวงจร เพราะมันสะดวก แต่สำหรับการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ จำเป็นต้องขยันหาซื้อจากหลายๆ ร้านหน่อย เพื่อให้ได้เฟอร์นิเจอร์ในสไตล์ที่แตกต่างกัน จะได้นำมาตกแต่งห้องรับแขกได้อย่างมีมิติ ไม่ซ้ำซากจำเจจากเฟอร์นิเจอร์สไตล์คล้ายๆ กันทั้งหมด แถมบางครั้งเฟอร์นิเจอร์ในร้านเดียวกัน ก็อาจมีแบบที่ไม่เข้ากันก็ได้ เช่น โซฟาแนวโมเดิร์น กับโต๊ะรับแขกแบบวินเทจ เป็นต้น
สำหรับคนที่กำลังอยากตกแต่งห้องนั่งเล่นใหม่ ยังไงก็ลองพิจารณาเลือกสไตล์การตกแต่งห้องนั่งเล่นดูก่อนนะคะ เผื่อจะช่วยให้คุณตกแต่งห้องนั่งเล่นได้สวยตรงใจกันมากขึ้น แต่ที่สำคัญ สไตล์การตกแต่งในแบบที่คุณชอบ ก็น่าจะเป็นสไตล์ที่โดนใจมากที่สุดล่ะเนอะ

มาดูห้องตอนที่ผมไปเห็นกันครับ มีวอลเปเปอร์ ชุดครัวพร้อมย้ายเข้าอยู่ได้เลย แต่ก็นั่นแหละครับห้องเดิมยังไม่ตอบโจทย์
มาดูแปลนห้องกันต่อครับ ห้องนอนเดิม (ซ้ายมือ) จะมีตู้เสื้อผ้าจากโครงการมาให้ในห้องนอน ส่วนครัวจะค่อนข้างใหญ่ ซึ่งผมวางแปลนใหม่ให้ห้องครัวแคบลง เหลือแค่พื้นที่ใช้งานจริง ๆ ผมเอาส่วนที่เหลือไปเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้าแทน แล้วผมจะได้ส่วนทำงานมาแทนที่ตู้เสื้อผ้าเดิม ชั้นหนังสือผมใส่ไว้ในส่วนห้องรับแขก และใส่ตู้เก็บของไว้หลังโซฟา เพราะมีพื้นที่เหลือแนวยาวค่อนข้างเยอะ ผมลองรื้อฝ้าดูว่ามีพื้นที่เหลือระหว่างฝ้าโครงการกับพื้นชั้นบนเท่าไร (ถ้ามีที่เหลือ10 เซนติเมตร ผมคงปล่อยไว้เหมือนเดิม) แต่ลองวัดดูมันได้ถึง 20 เชนติเมตร ก็ให้ช่างรื้อเลยครับ มันช่วยลดความรู้สึกอึดอัดลงไปได้เยอะ ผมจะได้ห้องที่มีขนาด 2.60 เมตร แทน ซึ่งความรู้สึกมันต่างกันจริง ๆ ระหว่างก่อนทำกับหลังทำ

ขั้นตอนระหว่างทำ เนื่องจากมีปรับแปลนใหม่ ต้องมีทุบผนังแน่นอน (ผนังกั้นภายในห้องทุบได้นะครับไม่มีผลกับโครงสร้างอาคาร) และอย่างที่ผมบอกมีรื้อฝ้า ได้ความสูงห้องเพิ่มขึ้นอีก 20 เซนติเมตร (ในรูปจะเห็นโครงของฝ้าเดิมอยู่) พอรื้อฝ้าแล้วจะเห็นท่อต่าง ๆ ที่โครงการซ่อนไว้ ไฟต้องเดินใหม่ทั้งหมด ผมใช้ท่อเหล็กในการเดินไฟแทนของเดิม พื้นห้องครัวผมเปลี่ยนใหม่ ให้ตรงกับที่ออกแบบไว้
มาดูห้องตอนเสร็จกันครับ มุมนี้เป็นมุมจากประตูเข้าห้อง ทางเข้าห้องครัวกับห้องนอน ผมทำเป็นบานเปิดคู่ มีชั้นหนังสืออยู่ตรงกลางห้อง ด้านซ้ายมือเป็นโซฟาห้องนั่งเล่น มีตู้เก็บของด้านหลัง ด้านขวามือเป็นตู้วางทีวี โดยในตู้เป็นชั้นเก็บรองเท้าไปในตัว
ประตูผมทำเป็นบานเหล็กสีดำ โดยเลือกใช้กระจกใส ไม่ทำบานทึบเพื่อให้ห้องดูโปร่ง ไม่อึดอัด
มุมนั่งเล่น นั่งเปิดเพลงเบา ๆ หยิบหนังสือมาอ่านชิล ๆ เลยครับ
ตู้เก็บของข้างหลังจริง ๆ เป็นบานเปิดนะครับ (ดีไซน์ให้ออกมาเหมือนเป็นลิ้นชักเล่นระดับ) มันจะเก็บของได้เยอะกว่าลิ้นชักและราคาประหยัดกว่าด้วยครับ
ข้างตู้เก็บของเป็นพื้นที่สำหรับโคมไฟตกแต่ง
มาดูห้องนอนกันต่อครับ ห้องนอนผมทำเตียงบิวท์อิน มีลิ้นชักใต้เตียงไว้เก็บของ ปลายเตียงก็เป็นบานเก็บของได้
ด้านขวามือเป็นส่วนทำงาน นั่ง 2 คนได้อย่างสบาย ๆ
หัวเตียงมีปลั๊กสำหรับชาร์ทมือถือ แล้ววางไว้ได้เลยครับ ไม่ตกใส่หัวแน่นอน
ในส่วนของมุมทำงาน มีเพิ่มปลั๊กใหม่ให้เพียงพอสำหรับการใช้งาน ด้านบนเป็นชั้นโครงเหล็กสีดำ เก็บเอกสาร หนังสือ วางของโชว์ มีไฟตั้งโต๊ะที่ผมเอาไปติดผนังแทน เป็นไฟส่องสว่างในส่วนนี้
ปลายเตียงที่ทุบผนังใหม่ ผมได้ทำเป็นส่วนตู้เสื้อผ้า โดยทำเป็นบานเหล็กกระจกใสให้เข้ากับประตูเข้าห้อง ทำเป็นบานเลื่อนแทนบานเปิดเพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ใช้งาน
มาดูส่วนครัวกันบ้างครับ เราลดพื้นที่ของส่วนนี้ลง แต่เรื่องฟังก์ชั่นต่าง ๆ ยังอยู่ครบเหมือนเดิม อ่างล้างมือ ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า เครื่องซักผ้า และตู้เย็น วันที่ไปถ่ายรูปของยังไม่ครบเลยครับ ชั้นบนสุดยังเก็บของได้อีกเยอะ
เนื่องจากท่อด้านบนในส่วนครัวค่อนข้างวุ่นวาย ผมลดทอนความวุ่นวายด้วยการติดโครงเหล็กฉีกสีดำเข้าไป ออกมาโอเคเลย
ไม่ต้องห่วงเรื่องโต๊ะกินข้าวนะครับ เรามีโต๊ะพับติดไว้แล้ว มีชั้นวางจานแขวนแก้ว ซื้อที่ IKEA ได้เลยครับ ราคาไม่แพง เหมาะกับห้องคอนโดที่มีพื้นที่ไม่กว้างนัก นั่งกิน 2 คนได้เลยครับ
ผนังห้องโดยรวมจะเป็นงานทาสี (โทนสีเทา) เป็นการประหยัดไปในตัว ประหยัดกว่างานปูนเปลือยหรืออิฐเทียม
สุดท้ายงานออกมาตรงตามที่ผมต้องการไว้เลยครับ (เพื่อนแฮปปี้) ทั้งเรื่องสไตล์ การใช้งาน การอยู่อาศัย เข้าไปแล้วไม่อึดอัด มีที่เก็บของ มีชั้นหนังสือ มีส่วนทำงาน ราคาก็อยู่ในงบที่ตั้งไว้ ว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจซื้อคอนโดเล็ก ๆ ห้องไม่ใหญ่มากก็แต่งออกมาให้ดูดี น่าอยู่ได้นะครับ ได้อยู่ห้องในแบบที่เราชอบ ผมว่ามันมีความสุขในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยครับ...
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ ballsilver สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม