การที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินอะไรบ้างอย่างที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน คอนโด รถยนต์ เราจำเป็นใช้เงินจำนวนมากในการจับจ่าย ซึ่งการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นวิธีปกติของคนจำนวนมาก ในการตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ แต่เงินเป็นหลักแสนหลักล้าน การที่สถาบันการเงินจะอนุมัติเงินกู้จำนวนเยอะๆ ให้ใครสักคน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติทางการเงิน เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้กู้มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี และมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีองค์กรที่เชื่อถือได้ เข้ามาช่วยยืนยันข้อมูลส่วนนี้ นั้นคือ "บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ"
บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติคือใคร?
บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) คือ บริษัทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่งที่เป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ นำมารวบรวมประมวลผลเป็นข้อมูลเครดิต โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกจะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตได้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจใสนการอนุมัติสินเชื่อ
ข้อมูลเครดิตมาจากไหน?
ข้อมูลได้มาจาก “สมาชิก” ของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ซึ่งก็คือธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ (เช่น ธนาคารออมสิน) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซอเอร์ บริษัทประกันวินาศภัย ประกันชีวิต ผู้ให้บริการบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็น Bank หรือ Non-bank อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค ค่ายบริษัทมือถือ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ไม่ได้เป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ การที่คุณค้างจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือจึงไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ แต่ทางที่ดี คุณควรสะสางหนี้สินให้หมด เพื่อความสบายใจของตัวคุณเอง
สมาชิกจะทำการแจ้งประวัติการชำระสินเชื่อไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ซึ่งหากคุณมีประวัติการชำระล่าช้า ข้อมูลตรงนี้จะไปปรากฎในรายงานของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ โดยสมาชิกสามารถเข้ามาดูข้อมูลตรงนี้เพื่อใช้วิเคราะห์สินเชื่อ และการออกบัตรเครดิตได้ สำหรับบุคคลทั่วไปอย่างเราๆ จะสามารถทำการขอดูรายงานเครดิตของตนเองได้เท่านั้น และไม่สามารถขอดูข้อมูลของลูกหนี้ได้
หลายครั้ง ผู้ขอสินเชื่อได้รับการติดต่อจากธนาคารเพื่อเสนอให้รีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต หลายๆ ท่านเกิดความสงสัยว่าธนาคารเหล่านี้ทราบได้อย่างไรว่าตนมีประวัติค้างชำระ หรือเป็นหนี้บัตรเครดิต คำตอบก็คือ ธนาคารเป็นสมาชิกของเครดิตบูโร และสามารถเรียกดูข้อมูลได้นั่นเอง การที่ธนาคารบอกว่าลูกค้าท่านใดเป็น “ลูกค้าชั้นดี” และมีข้อเสนอพิเศษในการสมัครสินเชื่อนั้น แสดงว่าลูกค้าคนนั้นได้ทำการชำระหนี้อย่างตรงเวลา และไม่เคยผิดนัดชำระ
สำหรับคนที่จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารเยอะๆ นั่นหมายความว่าคุณได้ทำการชำระขั้นต่ำ หรือชำระล่าช้า จนเกิดเป็นดอกเบี้ย ในทางปฏิบัติ ธนาคารจะพยายามเลี่ยงลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะมีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระ ลองคิดดูว่าถ้ามีคนมาขอยืมเงินคุณ คุณอยากจะให้คนที่ชำระล่าช้า ไม่ตรงเวลายืมเงินหรือไม่ เพราะนั่นถือเป็นความเสี่ยงที่คุณจะไม่ได้เงินคืนเลย
ข้อมูลในบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติเก็บย้อนหลังกี่ปี?
ข้อมูลของบุคคลธรรมดาและข้อมูลของนิติบุคคล กฎหมายกำหนดไว้ว่าให้เก็บไว้ในระบบประมวลผลได้ไม่เกิน 3 ปี และ 5 ปีตามลำดับ นับแต่วันที่สมาชิกรายงานข้อมูลมายังบริษัท โดยที่จะมีข้อมูลใหม่จะเข้าไปแทนที่ข้อมูลเก่า ส่วนการอัพเดดข้อมูลนั้น สถาบันการเงินจะรายงานประวัติการชำระของคุณเข้ามาที่บริษัทฯ ทุกๆ สิ้นเดือน
ตัวเลขที่ปรากฏในรายงานมีความหมายอย่างไร?
ในรายงานข้อมูลเครดิตนั้นจะระบุสถานะบัญชีเป็นตัวเลข เราลองไปดูความหมายของรหัสเลขต่าง ๆ กัน
10 – ปกติ แปลว่า บัญชีนี้มีการชำระสินเชื่อตามปกติ จ่ายครบ จ่ายตรงตามเงื่อนไข ไม่มียอดค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน
11 – ปิดบัญชี แปลว่า สินเชื่อบัญชีนี้ได้มีการปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ไม่มีหนี้ค้าง
12 – พักชำระหนี้ ตามนโยบายรัฐ แปลว่า ที่ผ่านมาเคยมียอดค้างชำระ แต่ตอนนี้เข้าโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายรัฐ จึงทำให้สถานะไม่เป็นการค้างชำระ
20 – หนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน แปลว่า เคยค้างชำระในอดีต และปัจจุบันก็ยังค้างอยู่ ซึ่งเป็นสถานะที่เป็นผลลบต่อตัวผู้เป็นลูกหนี้เจ้าของบัญชีนี้
ควรตรวจเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติเมื่อไหร่?
หลายคนมักเข้าใจว่าควรตรวจเครดิตทางการเงินเมื่อจะขอกู้เท่านั้น ในความเป็นจริง คุณควรตรวจเครดิตทางการของตัวเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเช็คข้อมูลตัวเองในเรื่องประวัติการชำระสินเชื่อทั้งหมดที่เรามีว่าเป็นอย่างไรแล้ว หากมีจุดบกพร่องตรงไหน ยังพอมีเวลาแก้ได้ทัน นอกจากนี้ยังช่วยตรวจสอบความถูกต้องของรายงาน และดูว่ามีใครนำข้อมูลของเราไปแอบอ้างหรือไม่ เช่น ปลอมแปลงสำเนาบัตรประชาชน หรือเอกสารการเงินต่าง ๆ ไปสมัครสินเชื่อโดยใช้ชื่อเรา และเมื่อไหร่ที่ถึงเวลาที่เราจะขอสินเชื่อ ข้อมูลตรงนี้ก็จะพร้อมใช้ได้ทันที
รักษาคะแนนเครดิตให้ดี ทำอย่างไร?
1. ดำรงสัดส่วนหนี้อย่างเหมาะสม โดยไม่ควรมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนสูงเกินไป จนทำให้รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายหลักในการดำรงชีพไม่เพียงพอสำหรับชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวด
2. มีบัตรเครดิตในจำนวนน้อย หรือเท่าที่พอเพียงต่อความจำเป็น และควรปิดบัญชีบัตร เครดิตใดๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เพราะโดยปกติสถาบันผู้ให้สินเชื่อจะดูขีดความสามารถในการจับจ่ายว่า ผู้บริโภครายนั้นๆ มีขีดความสามารถในการชำระหนี้ได้ขนาดไหน หากมีจำนวนบัตรเครดิตมากแนวโน้มการก่อหนี้ก็จะมีมากขึ้น
3. ชำระหนี้ทุกรายการตามใบแจ้งหนี้จากสถาบันเจ้าหนี้ในจำนวนอย่างน้อยที่สุดเท่ากับจำนวนขั้นต่ำที่กำหนด และภายในระยะเวลาที่กำหนด และควรต้องชำระเต็มจำนวนตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับสถาบันเจ้าหนี้
4. หากไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ตามกำหนดระยะเวลา หรือหากพบว่าข้อมูลในใบแจ้งหนี้มีความ คลาดเคลื่อน ควรรีบติดต่อกับสถาบันผู้ออกบัตรทันที และการดำเนินการร้องเรียนหรือแก้ไขข้อมูลควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีรักษาคะแนนเครดิตที่นี่
ตรวจเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติที่ไหนได้บ้าง?
สำหรับใครที่อยากเช็กข้อมูลเครดิตของตัวเอง สามารถเตรียมบัตรประชาชนแล้วนำไปตรวจสอบแบบรอรับผลได้เลย (ค่าบริการ 100 บาท) ภายใน 15 นาที ซึ่งมีจุดบริการหลายแห่งด้วยกัน เช่น
1. ศูนย์ตรวจเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อาคาร 2 ชั้น 2 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์
- อาคารเพิร์ล แบงค็อก ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา09.00-18.00 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์
- สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง และสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์สมรภูมิ (ภายในสถานี) ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.
- ห้างเจ-เวนิว (นวนคร) ชั้น 4 ติดประกันสังคม ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.
- CITI (บริการเฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00 – 18.00 น.) เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, ศูนย์การค้าเมกา บางนา
- UOB (บริการเฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00 – 18.00 น.) เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต บางใหญ่, เดอะมอลล์ท่าพระ
2. เคาน์เตอร์ธนาคาร
- ธนาคารกรุงศรีฯ
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารธนชาต
- ธอส.
- ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์
- SME Bank
3. ธนาคารออนไลน์ (Internet Banking)
- ธนาคารกรุงศรีฯ
- ธนาคารกรุงไทย
4. ธนาคารบนมือถือ (Moblie Banking)
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารธนชาต
5. ตู้ ATM
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารไทยพาณิชย์
6. ฟรี ตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป ณ ที่ทำการไปรษณีย์ (เฉพาะสาขาที่ให้บริการ)
หากประวัติเครดิตไม่ดี ควรทำอย่างไร?
กรณีที่ท่านมีประวัติข้อมูลเครดิตไม่ดี มีการค้างหรือปิดนัดชำระ ควรรีบแก้ไขดังนี้
1. ติดต่อสถาบันการเงินที่เคยเป็นหนี้เพื่อชำระหนี้ค้างให้เสร็จสิ้น แต่หากมีหนี้คงค้างจำนวนมากควรเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้
2. เริ่มสร้างประวัติสินเชื่อใหม่ โดยการสร้างวินัยที่ดี ชำระหนี้ให้ตรงเวลา ไม่ผิดนัดชำระหนี้อีก เพราะทุกความเคลื่อนไหวในการชำระหนี้ของท่านจะถูกจัดเก็บ
ข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร?
หากเราพบว่าข้อมูลที่ปรากฏในรายงานนั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่อัพเดท เราสามารถดำเนินการได้ 2 วิธีต่อไปนี้
1. แจ้งธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่เรา (เคย) เป็นลูกหนี้อยู่ว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือไม่อัพเดต เพื่อเป็นการผลักดันเรื่องให้ธนาคาร หรือสถาบันการเงินทำเรื่องแก้ไขเข้าไปที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติต่อไป เพราะตามกฎหมายนั้นธนาคาร หรือสถาบันการเงินเหล่านี้มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยให้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติตลอดเวลาอยู่แล้ว
2. ในขณะเดียวกัน เราเองก็สามารถเดินเรื่องเข้าไปที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้ด้วยตัวเองเช่นกัน โดยกรอกแบบฟอร์ม “คำขอโต้แย้ง” และยื่นแบบฟอร์มนี้ไปยังจุดบริการที่ระบุข้างบน โดยเมื่อได้รับแบบฟอร์มนี้แล้ว บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งเรื่อง ในกรณีที่มีการโต้แย้งกัน และไม่อาจหาข้อยุติได้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะบันทึกข้อโต้แย้งพร้อมหลักฐานประกอบของเราไว้ในระบบข้อมูลต่อไป แต่ถ้าเรายังไม่ยอมความและยืนยันว่าข้อมูลของตนนั้นถูกต้องจริง เราสามารถอุทธรณ์เรื่องต่อไปที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตก็ได้ ซึ่งคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนี้จะถือว่าเป็นที่สุด
จะเห็นได้ว่า เรื่องของเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาตินั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเราเลย เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ ไม่ว่าเราจะทำการกู้ยืมหรือธุระทางการเงินกับสถาบันเงินไหน ให้เราปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้กับสถาบันการเงินนั้นๆ ซึ่งทุกอย่างจะมีผลกับข้อมูล และประวัติทางการเงินที่ทางบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้ทำการเก็บไว้ หากในอนาคตเรามีเรื่องที่ต้องทำการกู้ยืมหรือทำธุระทางการเงินอีก เราจะได้ไม่ติดขัดในการดำเนินการ