สวัสดีเพื่อนๆที่น่ารักทุกคนครับ วันนี้ื่ทาง thaihometown มีสาระดีเกี่ยวกับการกู้ ผ่อนชำระบ้าน กับคนในกลุ่มต่างๆไม่ว่าจะตกงานอยู่ ฟรีแลนซ์ พนักงานประจำต่างๆ จะผ่อนชำระ กู้ซื้อบ้านได้หรือเปล่าน้า วันนี้เรามีคำตอบให้เพื่อนๆหายสงสัยกันครับ ไปอ่านกันต่อเล๊ยยย!
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำลังผ่อนบ้านเกินฐานะเงินเดือนที่ได้อยู่หรือเปล่า
อยากรู้ว่าผ่อนบ้านเกินฐานะ หรือเงินเดือนที่ได้รับอยู่มั้ย ให้เอาค่าผ่อนต่อเดือนหารรายได้ต่อเดือน ค่าที่ได้แนะนำว่าไม่ควรเกิน 30% เช่น ผ่อนบ้านเดือนละ 9,000 บาท ถ้ามีรายได้เดือนละ 30,000 บาท แสดงว่าค่าผ่อนคิดเป็น 30% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งไม่เกินสัดส่วนผ่อนบ้านที่แนะนำ
นอกจากนี้ อาจสังเกตตัวเองดูว่า ตอนนี้ผ่อนบ้านไหวอยู่แค่ไหน รายได้เพียงพอกับค่าผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายประจำวันมั้ย หรือต้องหยิบยืมเงินเพื่อจ่ายค่าผ่อนบ้านหรือไม่ เพราะถ้าเริ่มมีปัญหาเหล่านี้ เริ่มเป็นสัญญาณว่าจะผ่อนบ้านไม่ไหว ต้องรีบหาทางแก้ไข หารายได้มากขึ้น หรือปรับลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น เพื่อให้เหลือเงินจ่ายเป็นค่าผ่อนบ้านมากขึ้น
คนทำงานฟรีแลนซ์สามารถกู้บ้านได้หรือเปล่า
ทำงานฟรีแลนซ์ก็สามารถกู้บ้านได้ เพียงแต่ต้องแสดงให้ธนาคารที่เราต้องการกู้บ้านว่า เราทำงานอะไร มีรายได้มากน้อยแค่ไหน โดยเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญๆ ได้แก่
- หลักฐานแสดงการทำงาน เช่น สัญญาว่าจ้างจากลูกค้า ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันที่มาของรายได้ว่าได้รับจากใคร หรือบริษัทอะไร
- หลักฐานแสดงรายได้ เช่น ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงิน เอกสารทวิ 50 แสดงการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เอกสารเหล่านี้ธนาคารสามารถใช้ประเมินรายได้ของเราทั้งในปัจจุบัน และที่ผ่านมา ยิ่งยอดรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ยิ่งช่วยยืนยันอาชีพการงานที่ทำอยู่ว่ามีความมั่นคงมากขึ้น
นอกจากนี้ การเดินบัญชี (Statement) เป็นเอกสารหลักฐานสำคัญอีกตัวหนึ่งที่แสดงถึงความสม่ำเสมอของรายได้ โดยควรเดินบัญชีตลอด ให้มีเงินเข้ามากกว่าเงินออก ไม่ใช่เงินเข้าแล้วออกเลยตลอดเวลา และวันที่เงินเข้าบัญชีควรสอดคล้องกับวันที่รับเงินจากลูกค้า หรือวันจ่ายเงินที่ระบุในสัญญาว่าจ้าง ดังนั้น ถ้ารับเงินค่าจ้างเป็นเงินสด อย่าลืมนำเข้าบัญชีเงินฝาก เป็นการเดินบัญชี เพื่อเป็นหลักฐานในการขอสินเชื่อ
ตอนนี้ตกงานกะทันหัน กลัวไม่มีเงินส่งบ้านในอนาคต จะปรึกษากับธนาคารเพื่อให้ลดหย่อนได้หรือเปล่า
สามารถปรึกษาธนาคาร ชี้แจงถึงปัญหาการเงินที่กำลังประสบอยู่ เพื่อดูว่าธนาคารมีทางออกอย่างไรให้บ้าง เช่น ขยายระยะเวลาผ่อน เพื่อให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง โดยธนาคารจะพิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา จำไว้ว่า อย่าหยุดจ่ายค่าผ่อน หรือเงียบหายไปเลย เพราะธนาคารไม่รู้ว่าเรากำลังมีปัญหาการเงิน โดยถ้าเราเงียบหายไม่จ่ายค่าผ่อนตามกำหนด อาจนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ยิ่งสร้างปัญหายุ่งยากตามมาได้
วิธีเช็คว่าจะสามารถกู้เงินผ่อนบ้านผ่านหรือเปล่า ต้องทำอย่างไรบ้าง
สามารถติดต่อธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำ Pre Approve ประเมินผลการขอสินเชื่อบ้านเบื้องต้น โดยเตรียมข้อมูลรายได้ ภาระหนี้ปัจจุบัน และข้อมูลราคาบ้านที่สนใจจะซื้อ หรือลองประเมินตัวเองเบื้องต้น โดยให้เกณฑ์ทั่วไปของธนาคารที่ให้มีภาระผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน
ทั้งนี้ ยิ่งรายได้สูง ธนาคารยิ่งให้มีภาระผ่อนต่อเดือนได้สูง 50-60% ของรายได้ต่อเดือน คิดคร่าวๆ กู้บ้าน 1 ล้านบาท จะผ่อนเดือนละ 7,000 บาท และคิดภาระผ่อนที่ 40% ของรายได้ต่อเดือน ดังนั้น ถ้าไม่มีภาระหนี้อย่างอื่น จะสามารถกู้บ้านได้วงเงินดังนี้
- เงินเดือน 17,500 บาท จะกู้บ้านได้ 1 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 7,000 บาท
- เงินเดือน 35,000 บาท จะกู้บ้านได้ 2 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 14,000 บาท
ประเมินดูว่า รายได้ตัวเรา ควรซื้อบ้านไม่เกินราคาเท่าไร จะได้เลือกบ้านได้เหมาะสมกับกำลังความสามารถในการผ่อน
ความพร้อมในการเงิน เมื่อคิดจะขอกู้บ้าน เมื่อจะกู้ซื้อบ้าน จะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องการเงิน 3 เรื่องคือ
1. เงินดาวน์ โดยทั่วไปธนาคารจะให้วงเงินกู้ 80-90% ของราคาประเมิน ทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านต้องมีเงินดาวน์สักก้อนหนึ่ง
หรือบางธนาคารอาจมีโปรโมชันให้กู้เต็ม 100% ของราคาบ้าน ไม่ต้องใช้เงินตัวเองก็กู้บ้านได้ แต่ต้องบอกว่า วงเงินกู้ 100% นั้น มักคิดจากวงเงินสินเชื่อบ้าน รวมกับสินเชื่อตกแต่ง ซึ่งสินเชื่อตกแต่งมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อบ้าน ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น จึงแนะนำว่า วางเงินดาวน์สักก้อน จะได้ขอสินเชื่อน้อยลง ช่วยให้จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงด้วย
2. เงินผ่อน ผู้ที่จะกู้บ้าน ควรคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ดูว่า หากมีค่าผ่อนบ้านเพิ่มเข้ามา รายได้ที่มียังเพียงพออยู่หรือไม่ หรือสามารถจ่ายค่าผ่อนบ้านต่อเดือนได้แค่ไหนที่ไม่ทำให้ตัวเองหรือครอบครัวต้องเดือดร้อน เพราะหากผ่อนไม่ไหวขึ้นมา จะส่งผลต่อประวัติการเงินของตัวเราได้โดยทั่วไปธนาคารจะให้ผู้กู้มีภาระผ่อนหนี้ต่างๆ ทั้งบ้าน รถ สินเชื่อบุคคล รวมกันไม่เกิน 40-60% ของรายได้ต่อเดือน
ทั้งนี้ ตัวเลขผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนที่ K-Expert แนะนำคือ ไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อไม่เป็นภาระที่หนักเกินไป เพราะเมื่vซื้อบ้านแล้ว ยังต้องบวกค่าประกัน ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำไฟ ค่าตกแต่งซ่อมแซม เพิ่มเข้าไปจากค่าผ่อนด้วย แถมกว่าจะผ่อนบ้านหลังหนึ่งหมดต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสิบๆ ปี
3. เงินค่าใช้จ่ายเมื่อกู้ซื้อบ้าน เมื่อตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน จะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมเงินเอาไว้อีกก้อนหนึ่ง ดังนี้
- จ่ายให้กรมที่ดิน: ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าโอนนั้น อยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขาย ส่วนใหญ่ผู้ขายจ่าย หรือจ่ายคนละครึ่ง
- จ่ายให้ธนาคาร: ค่าประเมินหลักทรัพย์ประมาณ 2,700-3,000 บาท ค่าประกันอัคคีภัยประมาณ 0.35% ของมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ ซึ่งค่าอากรแสตมป์ ธนาคารเก็บจากผู้กู้เพื่อนำส่งให้กรมสรรพากร
- จ่ายให้โครงการ หลักๆ ได้แก่ ค่าประกันมิเตอร์น้ำและไฟฟ้าประมาณ 5,000-7,000 บาท ค่าส่วนกลางขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน และมักเก็บล่วงหน้า 1 ปี เช่น พื้นที่บ้าน 50 ตารางวา ค่าส่วนกลาง 20 บาท/ตารางวา/เดือน จัดเก็บล่วงหน้า 12 เดือน เท่ากับว่าผู้ซื้อบ้านต้องจ่ายค่าส่วนกลางปีละ 12,000 บาท
กู้ซื้อบ้าน ต้องเตรียมเงินให้พร้อมทั้ง เงินดาวน์ เงินผ่อน และเงินค่า ใช้จ่ายที่ตามมาจากการซื้อบ้าน จะได้ไม่กลายเป็นปัญหาการเงินที่อาจตามมา หวังว่าคำตอบเหล่านี้ จะช่วยให้หลายๆท่านได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่อนบ้าน ซื้อบ้าน จะได้ไม่กลายเป็นปัญหาที่อาจะเกิดจากการที่ท่านไม่รู้นะครับ หรือในอนาคตก็สามารถสอนหรือบอกคนใกล้ตัวได้เช่นกันครับ ไว้โอกาสหน้าเราจะมีสาระดีๆอะไรมาฝากอีกรอติดตามชมได้เลยครับ
ขอบคุณความรู้ดีๆจาก : pantip