เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับคนไทย โดยเฉพาะคนที่แบกรับภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเริ่มหมดกำลังผ่อนในสินทรัพย์ต่างๆ ของตัวเองที่ได้ก่อนหนี้ไว้ ในอัตราดอกเบี้ยที่เกินจะรับไหว ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด หรือหนี้ประเภทอื่นๆ เพราะล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้บริหารสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM เปิดตัวโครงการ "คลินิกแก้หนี้" เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนทั่วไปอย่างเป็นระบบ
ดูเหมือนว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ส่วนบุคคล ไม่ได้มีความเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นหนี้ค่าผ่อนบ้านอยู่ เพราะในปัจจุบันดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นจนกำลังผ่อนของตัวเองเริ่มไม่ไหว หรือแม้แต่คนที่นำรายได้ของตัวเองไปผ่อนบ้านจนหมด แล้วใช้บัตรเครดิตกดเงินมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว จนก่อหนี้มากมาย ดังนั้นคลินิกแก้หนี้ จึงเป็นทางออกที่จะเข้ามาช่วยได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าจึงสามารถชำระผ่อนได้สบายกว่านั่นเอง จากเดิมที่ต้องจ่าย 20 - 25% จะลดลงเหลือ 4 - 7% เท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงรายได้ของคุณด้วย
คลินิกแก้หนี้คืออะไร
คลินิกแก้หนี้ หรือ "โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน" เป็นนโยบายของภาครัฐที่มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่มีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้มีโอกาสปลดหนี้ โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM เป็นตัวกลางในการปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายให้ได้ข้อยุติในคราวเดียว เหมือนกับ One Stop Service ที่ลูกหนี้แค่มาเจรจาที่คลินิกแก้หนี้ที่เดียวก็เหมือนกับได้ติดต่อกับเจ้าหนี้ทุกราย เรียกได้ว่า "หนี้บัตรทบ จบที่เดียว"
ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
มีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ 17 ธนาคาร ได้แก่
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารทหารไทย
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
- ธนาคารไอซีบีซี
- ธนาคารเกียรตินาคิน
- ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
- ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
- ธนาคารธนชาต
- ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
- ธนาคารทิสโก้
- ธนาคารยูโอบี
- ซิตี้แบงก์
- แบงค์ออฟไชน่า
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ
- ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี (ต้องไม่เกินตลอดอายุที่อยู่ในโครงการ)
- มีหนี้รวมห้ามเกิน 2,000,000 บาท
- มีหนี้กับธนาคารมากกว่า 2 แห่งใน 17 ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
- จะต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่ 4% – 7% ต่อปีเท่านั้น
อัตราดอกเบี้ย
- รายได้ต่อเดือน 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 7% ต่อปี
- รายได้ต่อเดือน 50,000 – 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 6% ต่อปี
- รายได้ต่อเดือน 30,000 – 50,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 5% ต่อปี
- รายได้ต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี
- รายได้ต่อเดือน ไม่เกิน 30,000 บาทขึ้นไปเสียดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี
ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
- ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์
- กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มใบสมัคร และยืนยันข้อมูลผ่านเว็บไซต์
- รอเจ้าหน้าที่โครงการติดต่อกลับ เพื่อนัดหมาย วัน เวลา เข้าพบที่สำนักงาน
- จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับประกอบการพิจารณา
- พบเจ้าหน้าที่โครงการที่สำนักงานโครงการ เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้
- เจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมาย เพื่อลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อได้รับการยืนยันจากธนาคารเจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการ
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณา
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- ใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
- เอกสารการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้จากเครดิตบูโร
- สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 3 เดือน
- เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 6 เดือนย้อนหลัง
- บัตรเงินบำนาญ (กรณีเป็นข้าราชการ)
- ใบแนบหนังสือสั่งจ่าย (กรณีเป็นข้าราชการ)
- หลักฐานการแสดงรายได้อื่น เช่น สัญญาให้เช่า สัญญาว่าจ้าง ฯลฯ
- ใบแจ้งหนี้/เอกสารแสดงความเป็นหนี้
- หนังสือยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิตบูโร
ประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับจากโครงการคลินิกแก้หนี้
- ไม่ถูกทวงถามหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย
- ลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือน เพราะชำระเฉพาะเงินต้นค้างชำระ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรนไม่เกิน 7% ตามช่วงรายได้ ระยะเวลาผ่อนชำระได้ไม่เกิน 10 ปี
- เป็นการรวมหนี้ และผ่อนชำระในที่เดียว
- รู้จักวางแผนทางการเงินที่ดี
หากสนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของคลินิกแก้หนี้โดยตรงหรือ คลิกที่นี่