1. คุณสมบัติผู้กู้ และ หลักฐาน
บุคคลทั่วไป ที่มีเครดิต ในสายตาของธนาคารที่ให้กู้ คือ ผู้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ จะต้องมีหลักฐาน ยืนยันว่าท่านมีรายได้สม่ำเสมอ มั่นคง สามารถใช้หนี้ คืนได้ ตามระยะเวลากู้ ไม่เป็นหนี้เสีย มีอายยุ 20 ปี ขึ้นไป สามารถทำนิติกรรมได้ด้วยตนเอง อายุสูงสุด แล้วแต่ธนาคาร
2. หลักฐานส่วนตัวท่าน
- บัตร ประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- Bank Statement หรือ บัญชี ธนาคาร
- ใบรับรอง เงินเดือนต้องตรงและสอดคล้องกับ Bank Statement
- หลักฐานเกี่ยวกับ การกู้ เช่น สำเนาสัญญา จะซื้อจะขาย สำเนาโฉนด แผนที่ทรัพย์สิน
- อื่นๆ เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยน นามสกุล ใบทะเบียนสมรส ใบหย่า
- หลักฐานการประกอบการกู้ อื่นๆ
กรณีเป็นกิจการส่วนตัว หรือบริษัทต้องมีอากสารเพิ่มเติมดังนี้
- ใบจดทะเบียน บริษัท
- หลักฐานการเสียภาษี
- บัญชีกระแสรายวัน
- รูปถ่ายของกิจการ
- บัญชีรายชื่อลูกค้า
- ผู้อ้างอิง
- ใบส่งของ
- หลักทรัพย์ อื่นๆ รถยนต์ บ้าน ที่ดิน เพื่อที่จะให้ธนาคาร ท่านมั่นใจ ในเครดิต ของท่านเอง
ในกรณีสมรส ธนาคารมักจะให้เป็นผู้กู้ร่วม แม้จะยังไม่จดทะเบียน หลักเกณฑ์การพิจารณาวงเงิน ให้กู้ได้เท่าไหร่
1. อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
โดยเทียบจากค่างวดที่ต้องผ่อนชำระ ระหว่างแหล่งเงินกู้เดิมกับแหล่งเงินกู้ใหม่ เพื่อให้มีภาระผ่อนชำระน้อยลง (ไม่กู้เพิ่ม) หลังจากที่ครบ วาระดอกเบี้ยโปรโมชั่น อาจจะ 1 หรือ 3 ปี แล้วแต่โปรโมชั่นที่คุณรับมาจากธนาคาร เพราะหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยมักเป็นไปในลักษณะลอยตัว (MLR) หรือ ลอยตัวแล้วมีส่วนลด คือ MLR- ซึง MLR แต่ละธนาคารก็จะไม่เท่ากัน
ผู้ที่ต้องการจะรีไฟแนนซ์ก็ต้องมาตรวจสอบดูส่วนต่าง ระหว่างการใช้ดอกเบี้ยอยู่กับธนาคารเดิม กับ ค่าใช้จ่ายหลังจากรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่ว่ามีส่วนลดให้มากพอที่จะทำเรื่องไฟแนนซ์ไปหรือไม่ซึ่งทุกปี แต่ละธนาคารก็จะแข่งขันกันออกโปรโมชั่นดอกเบี้ย ดึงลูกค้ากันเอง เราก็ต้องมาคอยตรวจสอบว่าที่ไหนดี่ที่สุด เทียบกับที่เราใช้อยู่ บวกลบ แล้วมีกำไรคุ้มค่าก็ดำเนินการย้ายไปได้เลย
►สินเชื่อที่อยู่อาศัย เลือกธนาคารไหนดี
จากสถาบันการเงินทั้งสามกลุ่มที่เราแนะนำไปเชื่อว่า ธนาคารน่าจะเป็นแหล่งแรกที่เรานึกถึง แต่คำถามที่หลายคนคิดในหัวก็คือ แล้วเราจะเลือกธนาคารไหนดี อันนี้ก็ตอบแบบฟันธงไปเลยไม่ได้ เพราะการอนุมัติมีหลายปัจจัยประกอบกัน แต่เราควรดูข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารที่เค้าแนะนำให้ดี
►สินเชื่อที่อยู่อาศัย เค้ามีวงเงินกู้กันเท่าไร
ข้อมูลแรกที่เราควรจะโฟกัสก่อนเลยก็คือ สินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่เค้ามาแนะนำนั้นมีวงเงินกู้เท่าไร โดยทั่วไปแล้ววงเงินของสินเชื่อประเภทนี้จะเริ่มต้นที่ร้อยละ 80 ของราคาประเมิน ไปจนถึง ร้อยละ 100 ของราคาประเมิน(เคยมีบางสินเชื่อให้เกินนี้ด้วย) ซึ่งหากน้อยกว่านี้แนะนำว่าให้บอกผ่านไปก่อน
2.3 ค่าใช่จ่ายต่างๆ จากการรีไฟแนนซ์
มีอยู่ 6 ข้อ ซึ่งลูกค้าแต่ละรายจะเสียไม่เท่ากัน เพราะนอกจาก สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะกำหนดอัตราที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกมากดังนี้
1. ค่าปรับให้กับสถาบันการเงินเดิม กรณีคืนหนี้ก่อนกำหนด ในกรณีที่สัญญาเงินกู้ยังไม่พ้น “ระยะต้องห้าม” คุณจะต้องจ่ายแน่ๆ แล้ว 2-3% ของยอดหนี้คงค้างหรือยอดหนี้ตามสัญญา
2. ค่าจดจำนองใหม่กับกรมที่ดิน อัตรา 1% ของราคาประเมินของกรมที่ดิน
3. ค่าประเมินราคา เป็นอัตราที่ธนาคารแต่ละแห่งกำหนดขึ้นมาในอัตราที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ประมาณ 2,500 บาท หรือ 0.24% ของราคาประเมิน ขณะที่สถาบันการเงินบางแห่งอาจจะยกเว้นให้ในบางกรณี เช่น บ้านที่ทำสัญญาเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี หรือเป็นช่วงส่งเสริมการขายของสถาบันการเงินนั้น และถ้าเป็นการรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินเดิมอาจจะไม่ต้องประเมินราคาใหม่ก็ได้
4. ค่าธรรมเนียมเงินกู้กับสถาบันการเงินใหม่ ซึ่งในสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ลอาจจะเรียกชื่อค่าธรรมเนียมนี้แตกต่างกัน และมีรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่างกันด้วย บางแห่งอาจจะไม่มีรายการนี้เลยก็ได้ ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าธรรมเนียมเงินกู้จะอยู่ประมาณ 0.25-0.50% ของวงเงินกู้
5. ค่าประกันอัคคีภัย โดยปกติจะอยู่ประมาณ 0.1-0.2% ของวงเงินกู้ใหม่ อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินบางแห่งอาจจะกำหนดอัตราที่แตกต่างจากนี้ ซึ่งจากการทำประกันอัคคีภัยบ้าน จะทำเป็นรายปี เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่เพิ่งต่ออายุกรมธรรม์ สามารถใช้กรมธรรม์เดิมได้โดยไม่ต้องทำประกันใหม่
6. ค่าอากรแสตมป์ ที่ผู้กู้จะต้องจ่ายในอัตรา 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ หรือ 10,000 บาทละ 5 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่สูงมากนัก ฉะนั้น บางคนอาจจะลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายตัวนี้ไปแล้ว คุ้มหรือไม่ ในปัจจุบันคุณคงหาสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินเดิมถึง 3-5% ได้ค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้เคียงกัน ฉะนั้นหากคุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ทั้ง 6 ข้อข้างต้น คุณจะต้องจ่ายประมาณ 2.66-4.90% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักจะมาจากค่าปรับในการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ดังนั้น แม้ว่าคุณสมบัติต่างๆ ในด้านรายได้และภาระหนี้จะผ่านเกณฑ์ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะเตรียมเงินสำหรับดาวน์บ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไว้ด้วยนะคะ เมื่อขอสินเชื่อบ้านผ่านแล้ว สามารถหมดภาระหนี้ได้เร็วขึ้นด้วยการโปะหนี้บ้านหรือชำระหนี้มากกว่ายอดผ่อนที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือน เพราะการโปะหนี้จะทำให้ยอดเงินต้นลดลง และประหยัดดอกเบี้ยจ่าย ดังนั้น หากได้รับโบนัสหรือเงินก้อนพิเศษเข้ามา การนำไปโปะหนี้บ้านจะช่วยให้ภาระหนี้บ้านหมดไวขึ้นค่ะ
K-Expert Action - อย่าลืมเตรียมเงินดาวน์ 20% ของราคาบ้าน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการกู้ซื้อบ้านไว้ด้วย - จ่ายหนี้บ้านเพิ่ม 10% ต่อเดือน ทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น 7 ปี จาก 30 ปี“