สินเชื่อที่อยู่อาศัย

การจะซื้อบ้านสักหลัง ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะกับคนส่วนใหญ่ที่มักจะต้องมีการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารต่าง ๆ หรือที่เราเรียกกันว่าการ "กู้ซื้อบ้าน" และยอมจ่าย"ดอกเบี้ยบ้าน" ในอัตราแตกต่างกันไป และใช้ระยะเวลาผ่อนบ้านกันนานหลายสิบปี

ประกาศอสังหาริมทรัพย์ใหม่ บ้าน บ้าน รายการล่าสุด บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยว รายการล่าสุด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์เฮ้าส์ รายการล่าสุด ทาวน์โฮม ทาวน์โฮม รายการล่าสุด คอนโด คอนโด รายการล่าสุด อาคารพาณิชย์ อาคารพาณิชย์ รายการล่าสุด อพาร์ทเม้นท์ อพาร์ทเม้นท์ รายการล่าสุด สำนักงาน สำนักงาน รายการล่าสุด โฮมออฟฟิศ โฮมออฟฟิศ รายการล่าสุด ธุรกิจ ธุรกิจ รายการล่าสุด โรงงาน โรงงาน รายการล่าสุด คลังสินค้า คลังสินค้า รายการล่าสุด โกดัง โกดัง รายการล่าสุด ที่ดิน ที่ดิน รายการล่าสุด ลงประกาศฟรี ผู้รับเหมา รายการล่าสุด ผู้รับเหมา ลงประกาศฟรี ผู้รับเหมา ข่าวประชาสัมพันธ์ รายการล่าสุด ข่าวประชาสัมพันธ์ พรีวิวโครงการใหม่ รายการล่าสุด พรีวิวโครงการใหม่ ตกแต่งที่อยู่อาศัย รายการล่าสุด ตกแต่งที่อยู่อาศัย สาระควรรู้ ที่อยู่อาศัย รายการล่าสุด สาระควรรู้ ที่อยู่อาศัย ฮวงจุ้ย ที่อยู่อาศัย รายการล่าสุด ฮวงจุ้ย ที่อยู่อาศัย สินเชื่อ ที่อยู่อาศัย รายการล่าสุด สินเชื่อ ที่อยู่อาศัย SME รายการล่าสุด SME สถานที่ท่องเที่ยว รายการล่าสุด สถานที่ท่องเที่ยว

กู้ซื้อบ้าน " ดอกเบี้ยบ้าน " ต้องทำความเข้าใจมีรายละเอียดสำคัญมากกว่าที่คิด

           เรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับ ดอกเบี้ยบ้าน หากอยากขอสินเชื่อบ้าน ต้องห้ามลืมทำความเข้าใจกับดอกเบี้ยบ้านด้วยน

           การจะซื้อบ้านสักหลัง ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะกับคนส่วนใหญ่ที่มักจะต้องมีการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารต่าง ๆ หรือที่เราเรียกกันว่าการ “กู้ซื้อบ้าน” และยอมจ่าย“ดอกเบี้ยบ้าน” ในอัตราแตกต่างกันไป และใช้ระยะเวลาผ่อนบ้านกันนานหลายสิบปี

           แต่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจกับการคิดดอกเบี้ยบ้านมากเท่าไรนัก แถมยังคิดง่าย ๆ ว่าธนาคารเรียกเก็บเท่าไรก็จ่ายไปเท่านั้น ทั้งที่จริงเรื่องของ ดอกเบี้ยบ้าน มีรายละเอียดสำคัญมากกว่าที่คิด วันนี้ คุณ Zieg-Hart สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะมาแจกแจงคร่าว ๆ ให้คนที่กำลังคิดจะขอสินเชื่อบ้านได้ทำความเข้าใจกันก่อน ลองไปอ่านกันจ้า


ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ... เรื่องที่หลาย ๆ ท่านอาจจะมองข้ามไป  คุณ Zieg-Hart

          ผมเชื่อว่าเราคงเคยได้ยินญาติ คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน หรือความเห็นตามเว็บต่าง ๆ ในทำนองนี้กันมาบ้าง

          "มีเงินเดือน xx,xxx บาท อยากจะผ่อนคอนโด เสียดายเงินค่าหอพัก"


          "จ่ายค่าหอเดือนละ x,xxx บาท มา x ปีแล้ว นี่ถ้าผ่อนคอนโดคงไม่สูญเปล่าแบบนี้หรอก"

          ฯลฯ

          ซึ่งถ้าเราหาซื้อที่อยู่อาศัยด้วยเงินสด ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารแล้วคงไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดอะไรมากเรื่องดอกเบี้ย แต่หลาย ๆ คนมิได้มีฐานะและเงินทองเช่นนั้น บางคนพึ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน ไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาจากที่ไหน บางคนอาจจะย้ายถิ่นฐานมาทำงานในเมืองใหญ่ จึงทำให้เวลาอยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้วก็ไม่พ้นต้องกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้เนี่ย เป็นเรื่องที่ผมพบมาจากหลาย ๆ คนว่ามักจะลืมนึกถึงไป 

          อันที่จริงคนส่วนใหญ่ที่ผมเจอตัดสินใจกู้เงินมาซื้อที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาว่า "เขาสามารถผ่อนไหว" ซึ่งผมมองว่ามันยังไม่ถูกต้องซะทีเดียว ทำให้ต้องอธิบายกับหลายคนอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อวานผมไปเจอความเห็นทำนองนี้ในเว็บ ๆ หนึ่ง เลยเขียนกระทู้อธิบายไป แต่คิดว่าอาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เลยขอนำมาลงที่นี่ด้วยแล้วกันนะครับ 

หมายเหตุ : 

          หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาด ท้วงติงได้เสมอนะครับ จะแก้ไขให้ถูกต้องครับ

          ขอเน้นไปที่ดอกเบี้ยบ้านเป็นหลักก่อนนะครับ จริง ๆ มีเรื่องค่าส่วนกลาง การซ่อมบำรุง การตกแต่ง ฯลฯ อีกหลายอย่างที่เป็นรายจ่ายเวลาเป็นเจ้าของบ้านและคอนโดอีก

          ปกติแล้วเนี่ย เวลาเราสนใจคอนโดสักห้องหนึ่ง (รวมถึงบ้านด้วย) มันมักจะมีประโยคที่เซลส์ชอบพูดกับเราเพื่อล่อให้เราจอง คือ 

          "ผ่อนประมาณล้านละ 7 พัน"


ความหมายของประโยคนี้ คือ 

          ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 1 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 7,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 15,000 ขึ้นไป

          ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 2 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 14,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 28,000 ขึ้นไป

          ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 3 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 21,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 42,000 ขึ้นไป

          ** ปกติเวลาขอกู้สินเชื่อบ้านเนี่ย มีปัจจัยในการพิจารณาหลายอย่าง แต่ในเบื้องต้น ผู้กู้ควรมีรายได้อย่างน้อย 2-2.5 เท่าของค่างวดต่อเดือน


          ซึ่งล้านละ 7 พัน เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับเวลากู้จริง ๆ ครับ เพราะคอนโดผม 2 แห่งที่เคยทำเรื่องกู้มาคือ

       ที่แรกของน้องชายผมกู้ 3.56 ล้าน ผ่อนเดือนละ 25,600 กว่าบาท ตกประมาณ ล้านละ 7 พันนิดๆ

       ที่สองของผมกู้เอง 2.3 ล้าน ผ่อนเดือนละ 15,300 บาท ตกประมาณ ล้านละเกือบ 7 พัน

          ซึ่งประโยคล้านละ 7 พันเนี่ย เป็นประโยคที่ทำให้หลาย ๆ คนหลวมตัวจองคอนโดและบ้านมาบ้างแล้ว เพราะบางท่านคิดว่าคอนโด 2 ล้าน ผ่อนแค่ 14,000-15,000 ตนมีรายได้ 28,000 บาท น่าจะผ่อนสบาย ๆ เพราะมีรายได้ 2 เท่าของค่างวดแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วการมีรายได้ 2 เท่าของค่างวด เป็นการบ่งชี้ (แบบคร่าว ๆ) ว่าคุณพอจะมีสิทธิกู้ผ่าน (แต่เวลากู้จริงจะผ่านไม่ผ่าน มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครับ) แต่ ... ประเด็นคือ สมมุติว่าคุณมีรายได้ 28,000 ควรจะกู้ซื้อคอนโดราคา 2 ล้าน หรือเปล่า .. ลองดูตัวอย่างข้างล่างนี่ครับ (ดาวน์โหลดได้ที่นี่)

          นี่คือการคำนวนผ่อนคอนโดของผมเองครับ วงเงินกู้ 2.3 ล้านบาท

          (ทุกแบบผมกำหนดให้ดอก 0% 3 เดือนแรก เดือนที่ 4-12 ดอกพิเศษ 4.75% หลังจากนั้น MLR -1%)

แถวที่ 1 เป็นการคำนวนในกรณีที่ผมส่งเดือนละ 15,300 กว่าบาท

          ถ้าผมส่งด้วยยอดนี้ไปเรื่อย ๆ จะ

          ใช้เวลา 22 ปี 7 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
          โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 1.68 ล้านบาท

แถวที่ 2 เป็นการคำนวนในกรณี ที่ผมส่งเดือนละ 25,700 กว่าบาท

          ใช้เวลา 9 ปี 10 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
          โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 6.5 แสนบาท

แถวที่ 3 เป็นการคำนวนในกรณี ที่ผมส่งเดือนละ 38,428 กว่าบาท

          ใช้เวลา 5 ปี 10 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
          โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 3.5 แสนบาท

          แถวที่ 3 มองผ่านไปก็ได้ เพราะส่งเยอะขนาดนั้น ย่อมหมดเร็ว ดอกน้อย แต่ถ้าลองเทียบแถวแรกกับแถวที่สอง จะพบว่าการส่งต้นมากกว่าขั้นต่ำแค่หมื่นเดียว สามารถลดเวลาการผ่อนไปได้ 12 ปี (เหลือ 9 ปีกว่า เกือบ 10ปี) และลดดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาไปได้ 1 ล้านบาท (เหลือ 6 แสนกว่า)
 
คำถามคือ ทำไมส่งเดือนละน้อย ๆ ดอกถึงบาน ?

           คำตอบคือ วิธีการคิดดอกเบี้ยของธนาคาร จะนำเงินต้นที่เหลืออยู่มาคำนวนดอกเบี้ย ยิ่งเงินต้นเหลือมากเท่าไร ดอกเบี้ยในการคำนวนงวดต่อ ๆ ไปจะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น ลองดูภาพข้างล่างนี้นะครับ

          ** หมายเหตุ : โดยปกติแล้ว ดอกเบี้ยบ้านเป็นแบบลดต้นลดดอก ซึ่งจะถูกคำนวนเป็นรายวันในแต่ละรอบที่เราจ่ายไปนะครับ แต่ในภาพนี้ผมคิดแบบไม่ละเอียด เอาให้พอเห็นภาพความแตกต่างนะครับ ซึ่งทำให้ตัวเลขจะไม่ถูกต้อง 100% ซะทีเดียว เนื่องจากถ้าคำนวนแบบถูกต้องจริง ๆ จะต้องคำนึงถึงวันที่ชำระเงินและระยะเวลานับจากการชำระเงินครั้งล่าสุดด้วยครับ (เช่น ถ้าจ่ายทุก ๆ วันที่ 1 ของแต่ละเดือน
 
           ระยะเวลานับจากการชำระเงินครั้งล่าสุดของรอบเดือน ก.พ. จะเป็น 28 วัน พอมารอบเดือน มี.ค. จะกลายเป็น 31 วัน พอมาถึงเดือนเมษาจะกลายเป็น 30 วัน แม้จะชำระเงินเท่ากันทุกเดือน แต่จะถูกนำไปหักดอกเบี้ยไม่เท่ากันครับ) นอกจากนั้นแล้ว เงินต้นเองก็จะลดลงเรื่อย ๆ ทุก ๆ เดือนเช่นกันครับ

          จะเห็นว่าในปีแรก ก่อนที่เราจะเริ่มผ่อนกับธนาคาร ทั้งสองแบบเสียดอกเบี้ยเท่ากัน แต่พอมาถึงปีที่ 2 แบบผ่อนเยอะจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่ากัน (ช่องสุดท้ายในตาราง) อยู่ 7,200 บาท พอมาถึงปีที่ 3 แบบที่ผ่อนเยอะจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่ากันมากขึ้นไปอีก อยู่ที่ 14,832 บาท และส่วนต่างจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากแบบที่ 2 จะมีเงินต้นน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในแต่ละปีแบบมีนัยยะสำคัญ พอลองดูปีที่ 6 จะพบว่าส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มไปถึง 4 หมื่นบาท และกลายเป็น 5 หมื่นบาทในปีต่อไป จนในที่สุดแล้วแบบแรกเสียดอกเบี้ยมากกว่าแบบที่สองถึง 762,837.37 บาท (ได้รถยนต์คันหนึ่งเลย)

          อีกประเด็นนึงคือให้ลองสังเกตดอกเบี้ยและเงินต้นของแบบผ่อนขั้นต่ำครับ จะเห็นว่าเงินต้นลดลงไปน้อยมาก ในขณะที่ดอกเบี้ยช่วง 3 ปีแรกเสียพอ ๆ กันเลย อยู่ที่ 120,000 > 116,400 > 112,584 > 108,539 บาท ในขณะที่แบบที่ 2 เงินต้นลดลงเรื่อย ๆ และดอกเบี้ยก็ลดลงเรื่อย ๆ จาก 120,000 > 109,200 > 97,752 > 85,617 ซึ่งตรงนี้เองคือสาเหตุว่าทำไม เวลาเราส่งขั้นต่ำ ต้นมันถึงไม่ลดซักที เพราะดอกเบี้ยในแต่ละปี มันสูงเกือบจะเท่ากับเงินที่เราส่งเลย (ส่งไป 1.8 แสนต่อปี แต่โดนดอก 1.2 แสนต่อปี ตัดต้นได้แค่ 6 หมื่น)

          แต่ถ้าหากคุณจะส่งขั้นต่ำ และสามารถโปะได้เรื่อย ๆ ก็เป็นข้อยกเว้นครับ สุดท้ายแล้วเงินต้นและดอกเบี้ยคงเหลือจะใกล้เคียงกันครับ ตัวอย่างเช่น ถ้าแบบแรกส่ง 15,000 บาท แบบสองส่ง 25,000 บาท ต่างกันอยู่เดือนละ 10,000 บาท ปีนึงจะต่างกัน 120,000 บาท ซึ่งถ้าคุณสามารถหาเงินมาโปะตอนสิ้นปี 120,000 บาทได้ เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยสะสมก็จะใกล้เคียงกันมากครับ ... เพียงแต่เรื่องการโปะเนี่ย มันไม่แน่นอนครับ บางคนวางแผนจะโปะปีละแสนสองแสน เอาเข้าจริง ๆ มันมีเรื่องให้ใช้เงินสุดท้ายก็ไม่ได้โปะ เลยอยากแนะนำว่าให้ติดต่อธนาคารให้หักบัญชีให้มากขึ้นไปเลยดีกว่า เป็นการบังคับตัวเองไปด้วยเลย

สรุป

          คือที่เขียนมาจนยาวขนาดนี้ผมอยากจะสื่อว่า ถ้าใครคิดว่าตนสามารถผ่อนคอนโดขั้นต่ำได้แล้ว ผมอยากให้ชะลอไว้ก่อน รอให้สามารถผ่อนได้มากกว่าขั้นต่ำสัก 50% หรือให้ดี ผ่อน 2 เท่าของขั้นต่ำไปเลยยิ่งดี เพราะคุณจะผ่อนสั้นกว่าเยอะ เสียดอกให้ธนาคารน้อยกว่าเยอะ หรืออาจจะคิดง่าย ๆ แบบนี้ก็ได้ครับ 

ให้ "ผ่อนล้านละ 12,000" แทนที่จะเป็น "ผ่อนล้านละ 7,000"

          วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 12,000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 24,000 ขึ้นไป

          วงเงินกู้ 2 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 24,000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 48,000 ขึ้นไป

          วงเงินกู้ 3 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 36,000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 72,000 ขึ้นไป

          หรืออีกทางหนึ่งครับคือ "ผ่อนล้านละ 7,000 และเก็บอีก 7,000" 

          สมมุติว่ากู้ซื้อคอนโด 2 ล้าน ต้องผ่อนขั้นต่ำเดือนละ 14,000 ก็ให้ผ่อนกับธนาคารตามนี้ครับ แต่ทุก ๆ เดือน พยายามเก็บเงินอีก 14,000 (ถ้าไม่ไหวก็น้อยกว่านี้) เข้าบัญชีสำรองไว้ครับ ถ้าระหว่างที่ผ่อน ๆ อยู่เกิดมีวิกฤตทางการเงิน เจ็บไข้ได้ป่วย รถเสียหายหนัก ฯลฯ ก็ดึงเงินสำรองมาใช้ได้ แต่ถ้าจนถึงสิ้นปีแล้ว ไม่มีเหตุให้ใช้เงินเลย ก็ถอนเงินก้อนนี้แหละครับ ไปโปะเงินกู้บ้าน
 
 
          สมมุติว่าเก็บเดือนละ 14,000 บาท 1 ปีจะเก็บได้ 168,000 บาท ซึ่งในปีนั้นตัดสินใจทำเลสิกไป 3 หมื่นบาท พอสิ้นปีเหลือเงิน 138,000 บาท ก็อาจจะนำเงินสัก 1 แสนบาทไปโปะเงินกู้ เพื่อลดต้นที่จะถูกนำไปคำนวนดอก ส่วนอีก 38,000 อาจจะเอาไปตกแต่งบ้าน เที่ยวต่างจังหวัด พาคุณพ่อคุณแม่ไปช้อปปิ้ง ฯลฯ ตามต้องการครับ


หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับท่านๆที่ทำงานและกำลังมองหาที่อยู่อาศัยมาเป็นของตัวเองนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม, พันทิปดอทคอม
  • เงินกู้กสิกรไทย "สินเชื่อเงินด่วน Xpress Loan" สมัครง่ายเอกสารน้อย ช่วยปิดหนี้หมด เงินยังเหลือใช้
  • สินเชื่อ SME ต่อยอดธุรกิจ กู้เงินเปิดร้าน วงเงินกู้ 3 เท่า สูงสุด 20 ล้าน
  • ยื่นขอกู้ซื้อบ้าน แต่ธนาคารไม่อนุมัติให้ผ่าน มีสาเหตุมาจากอะไร
  • รีไฟแนนซ์บ้าน ด้วยสินเชื่อ KTB Refinance จากธนาคารกรุงไทย
  • กู้ซื้อบ้าน ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ วงเงินกู้ที่ได้จากธนาคารจะได้เท่าไหร่ มีเงื่อนไขการผ่อนอย่างไร
  • ทำความรู้จัก "MyMo" แอปฯกู้เงินสินเชื่อพลังฐานรากธนาคารออมสิน
  • ส่อง 10 อันดับสินเชื่อบ้านและเงิน ดอกเบี้ยต่ำที่ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน เพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
  • เตรียมเอกสาร ขอกู้ซื้อบ้าน
  • สินเชื่อบ้านแลกเงิน มีข้อดี ข้อแตกต่างจากสินเชื่อบ้านอย่างไร ผลอนุมัติเร็วกว่า จริงไหม?
  • 3 เรื่องต้องรู้ ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน แนะสูตรคำนวณแบบประหยัดดอกเบี้ย หนีดอกเบี้ยสุดโหด
  • สินเชื่อบ้าน รีไฟแนนซ์ จากธนาคารกรุงไทย ตัวช่วยของคนอยากมีบ้าน
  • ผ่อนบ้านจัดเต็มกับกรุงไทย ผ่อนนาน 40 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 6 เดือน
  • ออมสินให้วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้าน ใช้เป็นเงินทุนร้านสำหรับพ่อค้าแม่ขาย อาชีพอิสระ ผ่อนยาว 10 ปี
  • สมัครกู้เงินออนไลน์? ออมสินให้กู้ด่วน 200,000 บาท จริงหรือไม่
  • ออมสินปรับลดเงินงวด สินเชื่อ "ผ่อนบ้านดี มีเฮ" สำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะปัจจุบัน ถึง 30 ก.ย. นี้
  • กู้ซื้อบ้าน ดอกเบี้ยบ้าน ต้องทำความเข้าใจมีรายละเอียดสำคัญมากกว่าที่คิด

    การจะซื้อบ้านสักหลัง ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะกับคนส่วนใหญ่ที่มักจะต้องมีการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารต่าง ๆ หรือที่เราเรียกกันว่าการ "กู้ซื้อบ้าน" และยอมจ่าย"ดอกเบี้ยบ้าน" ในอัตราแตกต่างกันไป และใช้ระยะเวลาผ่อนบ้านกันนานหลายสิบปี

    © สงวนลิขสิทธิ์ 2567 บริษัท ไทยโฮมทาวน์ จำกัด
    @thaihometown Scroll