เทศกาลสงกรานต์ เป็นเทศกาลที่รวมญาติพี่น้องภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้เทศกาลตรุษจีนเลย เหล่าญาติสนิทมิตรสหายต่างมารวมตัวกันเป็นครอบครัว ในเทศกาลนี้ แต่หลายคนอาจจะมาไกล ก็ต้องใช้รถบ้าง แต่บางทีสิ่งที่เราลืมไปก็คือการเช็คสภาพรถ ยิ่งเดินทางไกล และมีการเล่นน้ำ พื้นถนนเปียกหลายที่ด้วยสิ ผมว่ามันอันตรายนะ ไม่งั้นเขาไม่ตั้ง 7 วันอันตรายกันหรอก ใช่มะ ดังนั้น การเช็ครถก่อนออกเดินทาง มันจึงสำคัญมากๆ ไม่แพ้กัน แล้วเราต้องเช็คตรงจุดไหนบ้าง ไปดูกันเลยดีกว่าครับ
1. เช็คน้ำมันเครื่อง
สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันก็คือ "น้ำมันเครื่อง" นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว
การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไปครับ เติมเถอะครับ ก่อนจะมีใครมาถามว่า "โต้ง รถเป็นไรอ่ะ"
2. เช็คระบบหล่อเย็น
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหมแม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด
แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะ ส่วนผมนี่ไม่ต้องเช็คแล้วครับ หล่อทุกเวลาครับ ทั้งหล่อเช้า หล่อกลางวัน หล่อเย็น และหล่อก่อนนอน
3. เช็คยาง
รถไม่มียางก็วิ่งไม่ได้นี่คือสัจธรรม ต่อให้ "รถไอติมวอลล์" ที่ลือกันว่าเร็วกว่าลัมโบกินี่มาขับรถที่ไม่มียางก็อย่าหวังว่าจะหนีคนซื้อไปไหนได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่
อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมากเสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล บินเป็นมิลเลนเนียมฟอลคอนของฮัน โซโลเลยนะ หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงตายนะคุณ ถ้ามีใครบอกว่าเช็คยาง ก็อย่าไปกวนตีนเขาว่าเช็คแล้วนะครับ เขาให้คุณไปเช็คยาง ไม่ได้ถามว่าเช็คยัง 5555555
4. เช็คผ้าเบรค
เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะเบรคยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ก็ได้ครับ อย่างเบรคจักรยานงี้แหละ แรกๆกดเบรคอาจจะหัวแทบทิ่ม แต่หลังๆมากดเบรคจนสายจะขาดแล้วรถก็ยังไถลไปเกือบโล นั่นล่ะครับ เบรคหมดแล้ว รถยนต์ก็เหมือนกันเลยครับ หลักการเดียวกัน
หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งจานเบรคสึกเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย สึกก่อนกำหนดแน่ๆ พุทธัง ปัจจักขามะ ธัมมัง ปัจจักขามะ สังฆัง ปัจจักขามะ กันเลยทีเดียวครับ
5. เช็คไฟส่องสว่าง
จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสองข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนมักง่าย คิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืนรถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนตู้มเลยนะ แต่ฟอร์จูนเนอร์ไม่ต้องเช็คเยอะนะ แสบตา 555555
ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาจะไปรู้กับคุณได้มั้ยล่ะว่าจะเลี้ยวหรือจะหยุด
6. เช็คแบตเตอรี่
แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด วิธีตรวจสอบแบตเตอร์ของรถทำได้สองวิธีคือหนึ่งใช้เครื่องมือวัดโวลต์ของแบตรถยนต์ซึ่งหาซื้อมาได้ไม่ยาก หรือสังเกตจากการตลาดรถยนต์
ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด ไดเกียวก็ช่วยอะไรไม่ได้ ณ จุดๆนั้น หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์ ถ้าแรงดันไฟต่ำกว่า 11 โวลต์ โอกาสสตาร์ทไม่ติดมีสูง แต่ถ้าแรงดันอยู่ที่ 13.8 – 14.2 โวลต์ ถือว่าปกติ
7. เช็คของเหลวอื่นๆ
ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช (ใช่แล้วครัช น้ำมันครัชนี่แหละครัช), น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงมา พรึ่บ !!! (ใช่..กระโปรงรถ) กระโปรงจะดับดังฟู่ ไม่ใช่ !!! จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่
ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียด ส่วนน้ำยาแอร์ แม้จะไม่มีผลต่อการขับขี่ แต่ก็มีผลต่อความสบาย ถ้าแอร์ไม่เย็น แล้วต้องเดินทางในจุดที่ร้อนจัดๆ แอร์พัง นี่ชีวิตก็พังด้วยน้ำ ถ้ารู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นก็เติมเถอะ
เห็นรึยังล่ะครับ ว่าการเช็ครถนั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าเราไม่เช็คให้ดีก่อนออกเดินทาง สภาพรถไม่พร้อม มันก็จะเป็นปัจจัยเอื้อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้นไปอีก ใช่ไหมล่ะครับ ดังนั้น เช็คให้ชัวร์ก่อนเดินทางจึงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทำเถอะครับ ไม่เสียหายอะไรหรอก ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินค่าซ่อมค่าดูแลรถเยอะครับ และที่สำคัญ ต่อให้เช็คมาชัวร์แค่ไหน ผู้ขับขี่ก็ต้องอย่าลืมด้วย ขับไม่ประมาท ง่วงไม่ขับ เมาไม่ขับด้วยนะครับ