ด้วยอุณภูมิของอากาศที่พุ่งสูงขึ้นแบบไม่ปรึกษาเทอร์โมมิเตอร์กันสักนิด เลยทำให้อุณหภูมิภายในบ้านของเราร้อนตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ และในเมื่อร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก จะไม่เปิดแอร์ หรือเร่งพัดลมให้เป็นเบอร์ที่แรงที่สุดก็คงทนไม่ไหวแน่ ๆ แต่ก็เพราะใช้ไฟเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมินี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้ค่าไฟตอนสิ้นเดือนเพิ่มขึ้นจนต้องสะดุ้งเบา ๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาประหยัดค่าไฟบ้านด้วยวิธีง่าย ๆ ตามนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาปาดเหงื่อซ้ำตอนได้รับบิลค่าไฟ
มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ
ด้วยข้อดีที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไส้ธรรมดาถึง 80-90% และอายุการใช้งานที่คงทนมากว่า 11 ปี หรือราว ๆ 1 แสนชั่วโมง เลยทำให้หลอดไฟ LED กลายเป็นหลอดไฟที่บ้านสมัยใหม่เลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมาใช้หลอดไฟ LED กันน่าจะประหยัดกว่า
ทำไมต้องหลอด LED?
จากกระแสตื่นตัวด้านการประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมเพื่อก่อให้เกิดการประหยัดพลังในด้านต่างๆ อย่างมากมาย หลอด LED เป็นอีกหนึ่งในอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้วมีการเริ่มต้นใช้ในเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 และได้รับความสนใจเพิ่มสูงขึ้นในปี ค.ศ. 1996 หลังจากมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนสามารถนำมาใช้ทดแทนหลอดไฟประเภทต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการสูญเสียการใช้พลังงานที่น้อยกว่า สำหรับในประเทศไทยมีการใช้หลอดไฟหลายประเภท บางชนิดก็ใช้กันมาหลายสิบปี โดยสามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. หลอด Incandescent หรือที่เรียกกันว่า หลอดไส้
- หลอดไฟชนิดนี้ ใช้กันมายาวนานกว่า 90 ปีแล้ว ภายในหลอดเป็น ไส้ที่ทำจากทังสเตน ให้ความร้อนสูงมากระหว่าง 100 - 400 องศาเซลเซียส แต่ประสิทธิภาพในการส่องสว่างต่ำ เพียง 10-15 lm/W เมื่อมีความร้อนสูงมากระหว่างการส่องสว่างจึงเท่ากับว่ามีการสูญเสียพลังงานมากด้วยเช่นกัน ระยะการใช้งานประมาณ 750 ชั่วโมง
- หลอดฮาโลเจน เป็นหลอดไส้ชนิดหนึ่ง ที่ไส้หลอดทาด้วยทังสเตน แต่บรรจุสารตระกูลฮาโลเจน เพื่อป้องกันการระเหิดตัวของไส้หลอด มีประสิทธิภาพดีกว่าหลอดไส้ปกติ 2-3 เท่า หรือประมาณ 1500 – 3000 ชั่วโมง หลอดประเภทนี้ใช้กับงานส่องเน้น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิด เครื่องฉายสไลด์ เป็นต้น
2. หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) หรือที่เรียกกันว่า หลอดนิออน
- หลอดฟลูออเรสเซนต์ เริ่มกันใช้ตั้งแต่ ปี 1940 จนถึงปัจจุบัน อายุเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 2 ปี มีหลายขนาดโดยหลอดดังกล่าวประกอบไปด้วย
2.1 ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซอาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้านในฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิดต่างๆ
2.2 ไส้หลอด ทำด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไส้หลอดจะทำให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ไอปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็นไอมากขึ้น
2.3 สตาร์ตเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ไฟฟ้าอัตโนมัติของวงจรโดยต่อขนานกับหลอด ภายในบรรจุก๊าซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อได้รับความร้อนจนทำให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ปรอทก็จะเป็นไอพอที่นำกระแสไฟฟ้าได้
2.4 บัลลัสต์ เป็นขดลวดที่พันอยู่บนแกนเหล็ก ขณะที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะเกิดการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้น เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ตเตอร์แยกตัวออกจากกัน จะเกิดวงจรเปิดชั่วขณะ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไอปรอทจากไส้หลอดข้างหนึ่งไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึ่งได้ แต่ประสิทธิภาพการให้แสงสว่างของหลอดชนิดนี้อยู่ในระดับปานกลาง มีการสูญเสียพลังงานเพราะต้องใช้สตาร์ตเตอร์ และบัลลัสต์ ซึ่งใช้ไฟสูงถึง 10-12 W
3. หลอดเมทัลฮาไลด์ หลอดโซเดียม หลอดแสงจันทร์
- เริ่มมีการใช้ตั้งแต่ปี 1980 จนปัจจุบัน นิยมใช้ในการส่องสว่างตามท้องถนนและโรงงานอุตสาหกรรม หลอดไฟประเภทนี้ กินไฟมากอยู่ระหว่าง 400 - 500 W ขึ้นไป อุณหภูมิของหลอดร้อนมาก 100 - 400 องศา อายุการใช้งานเฉลี่ย 2-3 ปี
4. หลอด LED / แอลอีดี
- LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเปล่งแสงสว่างเมื่อให้กระแสไฟผ่านตัวมัน ไดโอดเปล่งแสงออกมาได้แบบมีคลื่นความถี่เดียวและเฟสต่อเนื่องกัน และเปล่งแสงได้เมื่อจ่ายกระแส ไฟฟ้าเข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลอด LED มีจุดเด่นหลายอย่าง คือ ใช้พลังงานต่ำแต่ให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างที่สูงมาก ไม่มีแสง UV ไม่กระพริบขณะเปล่งแสง การเปิด - ปิดหลอดไฟ LED สามารถเปิด-ปิดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลารอนานเป็นหลอดไฟที่ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไฟประเภทอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด และการประหยัดเงินค่าไฟฟ้าจากการใช้หลอดไฟ LED ตั้งแต่ 15-75% โดยเฉลี่ยแล้วมีอายุการใช้งาน สูงสุดถึง 50,000 ชั่วโมง หรือประมาณ 5 ปี ขึ้นไป
แม้ในปัจจุบันราคาของหลอดไฟ LED จะมีราคาสูงกว่าหลอดทั่วไป แต่ถ้าเปรียบเทียบเรื่องระยะเวลาการใช้งาน นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งพอจะสรุปข้อดีของหลอดไฟชนิดนี้ได้ในด้านต่างๆ เช่น ความประหยัด เพราะใช้พลังงานน้อยมาก แต่ให้ประสิทธิภาพในการส่องสว่างสูง ด้านความสว่าง ที่สามารถส่องสว่างได้ทันทีโดยไม่ต้องกระพริบก่อน ทั้งยังไม่ปล่อยรังสี UV
ด้านความคงทน โดยสามารถทำงานได้ยาวนานที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดชนิดอื่นๆ และด้านสิ่งแวดล้อม ถือได้ว่าหลอดชนิดนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะนอกจากความประหยัดด้านพลังงานและความคงทนที่สามารถใช้ได้อย่างยาวนาน ทำให้ปริมาณขยะจากหลอดไฟลดลงด้วย การรณรงค์ส่งเสริมให้เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟประเภทต่างๆ ถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แค่เปลี่ยนมาใช้หลอด LED ก็ช่วยลดการใช้พลังงานได้แล้ว
วิธีอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้คุณประหยัดต่าไฟได้เหมือนกัน ลองไปดูกัน
ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ
ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ฟังกันมาจนชิน แต่หลายคนก็ยังเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสอยู่บ่อย ๆ เช่น 22 องศาเซลเซียส เป็นต้น ซึ่งเราก็เข้าใจว่าอากาศมันร้อนจริง ๆ แต่รู้ไหมคะว่า หากคุณคงอุณหภูมิแอร์ให้ไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสได้ล่ะก็ ค่าไฟของคุณจะลดลงไปอีกหลายบาทจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ไม่เชื่อลองทำแบบนี้ดูสักเดือนสิ
ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด
การทำความสะอาดตู้เย็นในที่นี้หมายถึง ให้คุณจัดการเคลียร์อาหารเก่าเก็บ เน่าเสียออกจากตู้เย็นเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นกดละลายน้ำแข็ง และทำความสะอาดตู้เย็นไม่ให้มีคราบสกปรกด้วย เนื่องจากตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของมากมาย แถมยังไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร จะใช้พลังงานมากกว่าปกติอีกหลายเท่า เพิ่มค่าไฟให้สูงขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ใด ๆ
เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้มานาน มีสภาพเกือบทำงานไม่ไหวแล้ว เป็นตัวเพิ่มกำลังไฟชั้นดีให้บ้านเราอย่างคาดไม่ถึงเลยนะคะ ดังนั้นหากคุณมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อายุการใช้งานเกิน 3 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานของเหล่านี้กันหน่อย หรือถ้าเป็นไปได้ก็เลิกใช้ไปซะน่าจะประหยัดกว่า
ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย
ช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อยจะอยู่ราว ๆ 22.00-06.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังนอนหลับ และการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานในเวลานี้ จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังไฟสำหรับการนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ประหยัดไฟบ้านได้อีกหลายบาทเชียวล่ะ
ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน
หลายคนอาจจะคิดว่า แค่กดปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงกริ๊กเดียว ก็เท่ากับตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้แล้ว แต่จริง ๆ ต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่า หากคุณปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ไม่ได้ถอดปลั๊กไฟ กระแสไฟฟ้าก็ยังคงไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปกติ เพื่อเป็นการสแตนด์บายให้คุณกดเปิดสวิตช์ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้งได้เลยทันที ฉะนั้นการถอดปลั๊กจึงเป็นวิธีตัดกระแสไฟฟ้าที่ชัวร์ที่สุด โดยเฉพาะเหล่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เมื่อไม่ใช้งานก็ควรต้องถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะคะ
ค่าไฟจะมากหรือจะน้อย ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราเองด้วย ดังนั้นนอกจากทำตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมสอดส่องเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วยนะคะ หากพบเจอว่าปลั๊กตรงไฟเสียบคาไว้ โดยไม่ได้ใช้งาน ก็ให้รีบถอดปลั๊กออกด่วน ๆ เลย เป็นต้น