แล้วเราจะต้องทำอย่างไรถึงกู้ผ่านละครับ?
คำตอบคือขึ้นอยู่กับสุขภาพทางการเงินของเราครับ ว่าสุขภาพดีแค่ไหน สุขภาพทางการเงินที่ดีคือเมื่อหักลบรายรับกับรายจ่ายแต่ละเดือนแล้วยังคงมีเงินเหลือใช้เหลือเก็บครับ ถ้าสุขภาพทางการเงินดีมีเงินเหลือสำหรับที่จะส่งค่างวดในแต่ละเดือนก็สามารถมั่นใจได้ 100 % ว่าธนาคารต้องอนุมัติสิ้นเชื่อซื้อบ้านของเพื่อนๆเป็นแน่ครับ สำหรับค่างวดผ่อนบ้านที่ต้องส่งแต่ละเดือนคิดคร่าวๆก็ประมาณกู้เงิน 1 ล้านบาทต้องผ่อนเดือนละประมาณ 7,000 บาทครับ เพื่อนๆก็ลองเปรียบเทียบคร่าวๆกับราคาบ้านของเพื่อนๆดูครับว่าหักจากรายได้แล้วเราสามารถส่งค่างวดตรงนี้ไหวหรือเปล่า
" ทีนี้มาดูกันบ้างครับว่าอะไรเอ่ยที่เป็นอุปสรรคในการกู้เงินซื้อบ้านของเราครับ มาดูกันครับ "
ที่มาของรายได้
รายได้ที่เป็นเงินเดือนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาครับ สบายๆขึ้นอยู่กับว่าจะได้เงินเดือนมากหรือน้อยครับ เก็บสะสม สลิปเงินเดือนเอาไว้นะครับ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นกู้ซื้อบ้านครับ แล้วก็อย่าลืมอัพเดทสมุดบัญชีธนาคารกันทุกเดือนนะครับ ธนาคารจะขอดูการเคลื่อนไหวและเงินเดือนที่เข้ามาต่อเนื่องทุกเดือนย้อนหลังเป็นเวลา 6 เดือนครับ จะได้ไม่ต้องไปขอรายการเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนที่ธนาคารครับมีค่าธรรมเนียมการขอด้วยนะครับ
แล้วกรณีที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทแต่ประกอบธุรกิจส่วนตัวหรืออาชีพอิสระก็ให้เพื่อนอัพเดทสมุดบัญชีธนาคารไว้ทุกเดือนครับ ส่วนใหญ่ธนาคารจะดูเอกสารการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนครับและดูทะเบียนพาณิชย์หรือใบประกอบวิชาชีพครับ สรุปรายการเงินเดินบัญชีสำคัญมากนะครับ ถ้าไม่มีคงกู้ลำบากหน่อยนะครับ เพราะธนาคารอาจไม่มั่นใจว่ารายได้ของเราจะมีมาตลอดไหม จึงต้องขอดู 6 เดือนย้อนหลังครับเพื่อประกอบการพิจารณาครับ
หนี้บัตรเครดิตบัตรกดเงินสด
หนี้สินส่วนนี้จะไปแสดงที่เครดิตบูโรของเราครับ หากเครดิตบูโรขึ้นบัญชีดำ “ติด Blacklist” นั่นหมายความว่าประวัติการชำระหนี้ของคุณไม่ดี ไม่ตรงต่อเวลา ผิดนัดจ่ายหนี้กับธนาคารอื่นๆ หรือไม่จ่ายเลย ทีนี้พอธนาคารเห็นก็อาจจะอนุมัติยากหน่อยนะครับ เพราะธนาคารก็ไม่มั่นใจว่าเราจะจ่ายค่างวดให้เค้ารึเปล่า
อีกกรณีหนึ่งหากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะเกินไปหมายความว่าไม่ได้ติด Blacklist นะครับแต่เมื่อธนาคารทำการประเมินรายได้ของเราแล้วปรากฏว่า แค่ยอดที่ต้องชำระในแต่ละเดือนสำหรับบัตรเครดิตบัตรกดเงินสดแต่ละใบ ก็ไม่พอที่จะส่งค่างวดสำหรับสินเชื่อบ้านแล้ว แบบนี้ธนาคารก็คงอนุมัติให้ผ่านยากนิดนะครับ แต่ถ้าคำนวณแล้วเงินยังเหลือพอส่งค่างวดบ้านแบบนี้ก็มีโอกาสผ่านครับ สบายใจได้
ค่างวดผ่อนรถ
ค่างวดสำหรับผ่อนรถก็แสดงในเครดิตบูโรเช่นกันครับ ถ้าธนาคารประเมินรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว เราไม่มีเงินเหลือพอที่จะส่งค่าบ้านก็อาจจะได้รับการอนุมัติยากอีกแล้วครับ ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถนะครับเพราะรถยนต์ผ่อนระยะสั้นเพียง 5-6 ปี อีกทั้งมีค่าบำรุงรักษา เสื่อมสภาพ ราคาตกเร็วมากครับ เรื่องรถยนต์คงจะอนุมัติไม่ยากมากครับ แต่บ้านสิใช้เวลาถึง 25-30 ปีเลยทีเดียวครับแล้วก็ค่อนข้างตรวจสอบข้อมูลเยอะครับ 555 อีกทั้งบ้านซื้อไว้นานไปมีแต่ขึ้นราคาครับ ที่ดินแพงขึ้นทุกวันครับ J
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
" เรื่องค่ากินค่าอยู่ก็ต้องถูกเอามาประเมินร่วมด้วยนะครับ รวมถึงค่าเลี้ยงดูบุตรด้วย ส่วนนี้ธนาคารเค้าจะประเมินตามความเหมาะสมเองครับ ในการอนุมัติสิ้นเชื่อบ้าน ธนาคารแต่ละที่จะคิดออกมาไม่เหมือนกันครับ "
สุดท้ายไม่ต้องกังวลครับหากเรามีรายได้ดีมีเงินเหลือใช้ก็มีโอกาสกู้ผ่านครับ หรือถ้าหากไม่ผ่านรายได้ไม่พอเจ้าหน้าที่ธนาคารจะเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาเราเองครับว่าให้นำเงินไปปิดยอดบัตรเครดิตโน้นนี่นั้น อะไรทำนองนี้ครับ คือพยายามทำให้เมื่อประเมินรายได้และรายจ่ายแล้วยังคงมีเงินเหลือสำหรับผ่อนบ้านได้ครับ แต่ส่วนตัวผมอยากแนะนำให้ซื้อบ้านเมื่อสุขภาพทางการเงินของเราพร้อมจะดีกว่าครับ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเบียดเบียนตัวเองและคนรอบข้างเปล่าๆครับ เก็บเงินดาวน์บ้านสักก้อนใหญ่ๆครับ แล้วก็กู้ซื้อบ้านอีกนิดดอกเบี้ยก็น้อยลงครับ อย่าลืมว่าไม่ว่าจะเป็นธนาคารเอกชนหรือรัฐบาลดอกเบี้ยเบ่งบานจริงๆนะครับ เราทำได้ดีที่สุดคือเลือกธนาคารที่ออกดอกเบี้ยดอกเล็กที่สุดเท่านั้นครับ สู้ๆครับเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
หากเพื่อนมีคำถามหรืออยากแบ่งบันประสบการณ์ตรง เทคนิคเกี่ยวกับการกู้ซื้อบ้าน สามารถ Comment ด้านล่างเลยนะครับด้วยความยินดีครับ