สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เตรียมตรวจหอพักเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ แพงเกินจริง หลังประชาชนร้องเรียนแพงกว่าไฟบ้าน 2 เท่า ขู่มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
วันที่ 28 มิถุนายน 2558 มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีประชาชนร้องเรียนผ่านศูนย์บริการประชาชน ระบุว่า มีประชาชนหลายคนได้รับความเดือดร้อนจากกรณีการถูกเจ้าของห้องพักและหอพักเอาเปรียบคิดราคาค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง โดยหากเปรียบเทียบราคากับบ้านเรือนธรรมดาพบว่าผู้เช่าหอพักต้องจ่ายราคาสูงกว่า 1-2 เท่า
โดย ร.ต. ไพโรจน์ คนึงทรัพย์ เลขานุการกรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ตามที่ศูนย์บริการประชาชนของสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า ถูกเจ้าของห้องพักและหอพักคิดราคาค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าสูงเกินจริงนั้น เบื้องต้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่ สคบ. เข้าไปดำเนินการตรวจสอบตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว พร้อมทั้งเชิญคู่กรณีเข้ามาไกล่เกลี่ย ทั้งนี้ หากพบว่ามีรายการใดที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเจรจาให้เจ้าของหอพักลดราคาให้เหมาะสม
ร.ต. ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าของหอพักมักอ้างว่า การจัดเก็บค่าน้ำของหอพักที่มีราคาสูงกว่าปกติ เนื่องจากทางหอพักมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนของค่าไฟฟ้า เพราะต้องสูบน้ำขึ้นไปยังห้องต่าง ๆ ทำให้ต้องคิดราคาสูงกว่าปกติ ซึ่งที่จริง สคบ. มีกฎหมายที่ควบคุมธุรกิจหอพักไว้อยู่แล้ว โดยออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาของ สคบ. กำหนดให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเงินประกันเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงินโดยบังคับให้เจ้าของหอพักต้องออกหลักฐานการรับเงินจากผู้บริโภคพร้อมระบุรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน หากไม่ทำตามถือว่ามีความผิด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ นายจิรชัย มูลทองโร่ย หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอฝากถึงประชาชนที่เดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าว ให้เข้ามาร้องเรียนกับทางภาครัฐ จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ หากพบว่า หอพักที่ถูกร้องเรียนมีการคิดราคาค่าน้ำ ค่าไฟสูงเกินจริง ก็เข้าข่ายมีความผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ 2542 มาตรา 29 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกันสคบ. ยังมีกฎหมายที่ควบคุมธุรกิจหอพัก โดยออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาของสคบ. กำหนดให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเงินประกันเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน ซึ่งบังคับให้เจ้าของหอพักต้องออกหลักฐานการรับเงินจากผู้บริโภคพร้อมระบุรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน หากไม่ทำตามถือว่ามีความผิด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับหลักฐานการรับเงินที่เจ้าของธุรกิจออกให้นั้น ต้องมีข้อความที่เป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร และต้องใช้ข้อความที่มีสาระสำคัญและเงื่อนไขต่างๆ เช่น ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบธุรกิจ และของผู้มีอำนาจออกหลักฐานการรับเงิน ,ชื่อที่อยู่ของผู้เช่า ,ชื่อสถานที่ของที่ตั้งของที่อยู่อาศัย ,กำหนดระยะเวลาเช่าที่อยู่อาศัย โดยต้องระบุวันเริ่มต้นเช่า และวันสิ้นสุดเช่า ,วันเดือนปี ที่รับเงินประกัน
รวมทั้งต้องมีจำนวนเงินประกัน และข้อความว่า ผู้เช่ามีสิทธิได้รับเงินคืนทันทีเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่เช่า หรือเมื่อสัญญาเช่าเลิกกัน เว้นกรณีเจ้าของจะตรวจสอบความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ หากผู้เช่าไม่ได้ทำความเสียหาย ให้ผู้เช่ามีสิทธิได้รับเงินประกันคืนภายใน 7 วัน โดยให้ผู้ประกอบการรับภาระค่าใช้จ่ายในการส่งคืนเงินประกันนั้น ตามวิธีการที่ผู้เช่าแจ้งให้ทราบ ขณะเดียวกันในหลักฐานการรับเงินยังต้องมีรายมือชื่อเจ้าของห้องพัก หรือผู้มีอำนาจออกหลักฐานในการรับเงินด้วย และในหลักฐานการรับเงินนั้นต้องไม่มีข้อความในทำนองว่า ผู้ประกอบธุรกิจจะไม่คืนเงินประกันให้กับผู้เช่าทั้งหมดไม่ว่ากรณีใดๆ
นายจิรชัย มูลทองโร่ย หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในกรณีดังกล่าว อยากแจ้งเตือนให้ประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนมาร้องเรียนปัญหากับทางภาครัฐ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น และประชาชนต้องถูกผู้ประกอบธุรกิจเอาเปรียบ ซึ่งเรื่องนี้ทางเจ้าของห้องพักต้องประกาศราคาค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าให้ผู้เช่ารับทราบอย่างชัดเจน หากพบว่ามีราคาสูงมากเกินไป อาจผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ว่าด้วยสนค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา29 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ“